วันพฤหัสบดีที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

‘ขายปลา ทูนึ่ง’ เงินงาม

ขาย “ปลาทูนึ่ง” เป็นอีกหนึ่งอาชีพเก่าแก่ที่จนวันนี้ก็ยังเป็น “ช่องทางทำกิน” ที่ดีของใครต่อใครมากมาย ซึ่งวันนี้ทางทีมงานคอลัมน์ช่องทางทำกินก็มีข้อมูลการทำอาชีพขายปลาทูนึ่งมา ให้ลองพิจารณากัน...

เจ๊ชุม-ประชุม อยู่ประเสริฐ และ เจ๊อี๊ด-นิภา อยู่ประเสริฐ สองพี่น้องผู้คร่ำหวอดอยู่ในวงการปลาทูนึ่ง ยึดอาชีพนึ่งปลาทูขายมาหลายสิบปี กับปลาทูแม่กลอง ที่มีเอกลักษณ์คือ “หน้างอ-คอหัก” รสชาติขึ้นชื่อ โดยทั้งสองร่วมกันเล่าว่า อาชีพนี้เป็นอาชีพดั้งเดิมของครอบครัว พอพ่อแม่เสียก็รับช่วงทำอาชีพนี้

“ปลา ทูแม่กลองจะมีความสด ใหม่ และกินอร่อย เพราะเป็นปลาที่นำมาจากทะเลวันต่อวัน ไม่มีการเก็บปลาไว้ค้างคืน แม่ค้าจะไปรับซื้อปลาที่ท่าเรือ เพื่อนำมาทำปลาทูนึ่ง ช่วงเวลาที่จะไปซื้อปลามานึ่งนั้นไม่แน่นอน เรือเข้า 2 โมงเช้า ก็ไป 2 โมงเช้า เรือเข้า 4 โมงเช้า ก็ไป 4 โมงเช้า รับปลามาแล้วก็เอาไปนึ่งทันที นึ่งเสร็จประมาณไม่เกินเที่ยงก็เอามาวางขายหน้าร้านได้เลย” เป็นกิจวัตรของคนขายปลาทูนึ่งเจ้านี้

เจ๊ชุมยังบอกอีกว่า ช่วงเทศกาลกินเจปลาแม่กลองจะยิ่งอร่อย ปลาจะมีชุกชุมและกำลังโตเป็นหนุ่มเป็นสาวเต็มตัว เอกลักษณ์ปลาทูแม่กลองต้องตัวเล็ก กินอร่อย เนื้อหวานกว่าปลาทูอินโดฯ ที่ตัวใหญ่กว่าแต่เนื้อจืด

สำหรับการทำอาชีพนึ่งปลาทูขายในภาพรวม นั้น อุปกรณ์ที่ใช้หลัก ๆ ก็มี... หม้อต้มปลาขนาดใหญ่ สั่งทำเฉพาะ, เต๊า หรือกระเตง (เป็นอุปกรณ์ที่มีลักษณะเป็นโครงเหล็กทรงกลม ที่ใช้เรียงเข่งปลา เพื่อนำปลาลงไปต้ม), หลัว (เข่งไม้สำหรับใส่เกลือเม็ด), เตาแก๊ส, เข่งไม้ไผ่, กะละมัง และทัพพี

ส่วนวัตถุดิบก็มี... ปลาทู, เกลือเม็ด, ใบตอง และน้ำสะอาด

หลายคนคงเข้าใจว่าที่เรียกว่า “ปลาทูนึ่ง” เพราะนำปลาไปนึ่ง แต่จริง ๆ แล้วปลาทูนึ่งไม่ใช่การนำปลาทูไปนึ่ง แต่จะนำปลาไปต้ม ที่เรียกว่าปลานึ่งนั้นเพราะเป็นคำที่คนโบราณเรียกกัน และเรียกต่อ ๆ กันมา

การ นึ่งหรือต้มปลาทู เจ๊ชุมได้ลงมือทำให้ดู โดยเริ่มจากนำปลาทูมาควักไส้ออก โดยการอ้าปากปลาทู แล้วดึงเหงือกปลาทูออกมา ไส้ทั้งหมดก็จะออกมาด้วย (ไส้ปลาทูก็ไม่ต้องทิ้ง เพราะจะมีคนมารับซื้อถึงที่บ้าน เพื่อนำไปหมักเป็นไตปลา และเอาไปเป็นเหยื่อปลา)

ควักไส้แล้วก็นำปลา ทูไปล้างน้ำให้สะอาด ก่อนจะจับปลาทูหักคอให้งอลง เพื่อที่ปลาจะได้อยู่ในเข่งอย่างสวยงาม ซึ่งจุดนี้ทำให้ปลาทูแม่กลองดูแตกต่างจากที่อื่น หลังจากเรียงปลาลงเข่งเรียบร้อยแล้ว ก็นำเข่งปลาทูมาเรียงลงเต๊า (1 เต๊าจะใส่เข่งปลาทูได้ประมาณ 70-80 เข่ง )

ถ้าใช้หม้อต้มขนาด 200 ลิตร จะต้องใส่น้ำลงไปประมาณ 3/4 ของหม้อ แล้วตักเกลือเม็ด 5 ขันใส่ลงไปต้ม พอน้ำเดือดใช้ทัพพีช้อนฟองออกให้สะอาด จากนั้นก็ยกเต๊าปลาทูลงต้มในหม้อ ประมาณ 5-6 นาที ก่อนจะยกเต๊าปลาลงให้ตักน้ำเกลือราดลงบนเข่งอีกครั้ง เพื่อให้ความชุ่มของเนื้อปลายังคงอยู่ ยกเต๊าลงวางให้สะเด็ดน้ำสักพัก และก่อนนำปลาทูเป็นเข่ง ๆ ออกไปขายก็ใช้ใบตองปิดหน้าปลาทูแต่ละชั้น ไม่ให้ปลาติดกัน

ก็เป็นอันเสร็จสิ้นกระบวนการทำปลาทูนึ่ง ซึ่งเจ๊ชุมบอกว่า ปลาทูที่นึ่งใหม่ ๆ จะมีกลิ่นหอมชวนรับประทาน และจะน่าทานยิ่งขึ้นถ้าปลาตัวอวบอ้วน เนื้อนุ่มแน่น ไม่ยุ่ย ท้องและผิวไม่ถลอก

เรื่องรายได้ ถ้าใช้ปลาทูสดประมาณ 100 กก. พอขายหมดเพื่อหักค่าใช้จ่ายต่าง ๆ จะเหลือเป็นค่าเหนื่อยประมาณ 200-300 บาท หรือถ้ามากหน่อยก็ประมาณ 400-500 บาท แล้วแต่ราคาปลาสดแต่ละช่วง

ขณะ ที่ราคาขายให้ลูกค้า ขึ้นอยู่กับไซซ์หรือขนาดของปลา ถ้าเข่งหนึ่งมี 2 ตัว ขายราคา 3 เข่ง 100 บาท ไซซ์รองลงมาก็ 4 เข่ง 100 บาท และไซซ์เล็ก 5-6 เข่ง 100 บาท

อาชีพขายปลาทูนึ่งเจ้านี้อยู่ที่ตลาดแม่กลอง เป็นปลาทูนึ่งเรือโป๊ะ สด ๆ ของอ่าวแม่กลอง ร้านอยู่หน้าร้านโอ้วแซเซ้ง ตรงข้ามวินมอเตอร์ไซค์ 5 พลัง เดินตรงไปอีกนิดก็จะเจอร้านปลาทูนึ่ง “เจ๊ชุม” จะอยู่ติดกับร้านกุยช่ายทอดและร้านของดองเจ๊หมวย ทั้งสองร้านเป็นเจ้าเดียวกันเพียงแต่แยกกันขาย ใครสนใจติดต่อเจ๊ชุม โทร. 08-1995-6163 ส่วนเจ๊อี๊ด โทร. 08-7919–3071 ทุกวันไม่เว้นวันหยุดราชการ

ขาย “ปลาทูนึ่ง” เป็นอาชีพเฉพาะถิ่นก็จริงอยู่ แต่หากใครสนใจ ไม่ได้อยู่ไกลจากแหล่งปลาสดมากจนเกินไป ก็ใช่ว่าจะไม่สามารถทำขายได้ และนี่ก็เป็นอีก “ช่องทางทำกิน” ที่ไม่อาจมองข้าม.

ที่มา เด ลินิวส์
เชาวลี ชุมขำ

‘ยำทรง เครื่อง’ ‘เกสรบัวหลวง’

อาชีพค้าขายอาหารในยุค นี้จะอยู่รอดได้ดีก็ต้องหาอะไรที่แตกต่างไปจากการค้าขายในท้องตลาดทั่วไป นอกเหนือไปจากฝีมือการปรุงที่เอร็ดอร่อย และอาชีพขาย “ยำทรงเครื่องเกสรบัวหลวง-มะม่วงมัน” เจ้านี้ ก็เป็นอีก “ช่องทางทำกิน” ที่พลิกแพลงนำองค์ประกอบแปลก ๆ มายำขาย สร้างอาชีพ-สร้างรายได้อย่างดี...

แสง เดือน สิริอัจฉราพันธุ์ หรือ น้อย แม่ค้าขาย “ยำทรงเครื่องเกสรบัวหลวง-มะม่วงมัน” เล่าว่า เดิมทำอาชีพเย็บผ้ามาก่อน แต่รายได้ไม่พอกับค่าใช้จ่ายในครอบครัว จึงหันมาทำ “ยำทรงเครื่องเกสรบัวหลวง-มะม่วงมัน” ซึ่งเป็นสูตรแปลกที่ไม่ค่อยมีคนทำขาย อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้าที่จะมาเป็นยำทรงเครื่องเกสรมะม่วงมันนั้นก็ขาย “ยำเกสรชมพู่ม่าเหมี่ยว” ตำรับชาววังมาก่อน ซึ่งได้สูตรมาจาก อาจารย์ยาใจ เพชรรัตน์ แต่เพราะเป็นอะไรที่ต้องรอตามฤดูกาล ก็เลยดัดแปลงมาเป็นเกสรบัวหลวงและกลีบอ่อนแทน

บัวหลวงมีสรรพคุณทางยา โดยรสชาติจะต่างกันที่ยำเกสรชมพู่จะออกรสเปรี้ยว ขณะที่ “เกสรบัวหลวง” จะออกรสคล้ายมะขามเทศ แต่ปรุงเป็นยำแล้วก็จะมัน ๆ อร่อยดีอีกแบบ

“ยำ ทรงเครื่องเกสรบัวหลวง-มะม่วงมัน” ก็มีสรรพคุณด้านสมุนไพร ประโยชน์ทางสมุนไพรของบัวหลวงก็มีมากอยู่ และที่สำคัญบัวหลวงนั้นมีขายตลอดทั้งปี จึงเป็นวัตถุดิบที่หาได้ง่าย

สำหรับ วัตถุดิบในการขายยำชนิดนี้นั้น หลัก ๆ คือใช้มะม่วงมัน ร้านนี้จะใช้วันละ 10-15 กก. ใช้มะม่วงพันธุ์แรด หรือน้ำดอกไม้ก็ได้ และบัวหลวงประมาณ 2 กำ ๆ ละ 10 ดอก นอกจากนี้ส่วนประกอบอื่น ๆ คือ น้ำเชื่อม ใช้น้ำตาลปี๊บเคี่ยวกับน้ำเปล่าประมาณ 3 กก. จนออกเป็นน้ำเชื่อม, ถั่วลิสงคั่ว 500 กรัม, กุ้งแห้ง 500 กรัม, มะพร้าวคั่ว 500 กรัม, ปลากรอบ 500 กรัม, ปลาหมึกกรอบ 500 กรัม, หอมแดงซอย 1 กก., กะปิหอมอย่างดี 1 กก., หอมเจียว (เจียวสำเร็จแล้ว) ประมาณ 1 ถุง (ราคา 24 บาท)

คุณน้อยบอกว่า วัตถุดิบที่ใช้หลัก ๆ ก็มีเพียงเล็กน้อย แต่การจัดร้านต้องดึงดูดลูกค้า ร้านของตนนั้นเป็นร้านรถเข็นธรรมดา แต่จะจัดร้านให้สวยงาม และดูดี ซึ่งตนก็เป็นคนชอบทำร้านให้สวยงาม เพื่อทำให้ลูกค้าเข้ามาซื้อของที่ร้าน ซึ่งร้านของคุณน้อยก็ประสบความสำเร็จในจุดนี้ไม่น้อยเลยทีเดียว

ยำ ทรงเครื่องเกสรบัวหลวง-มะม่วงมัน มีส่วนผสมของมะม่วงมันซอย (พอประมาณ), ถั่วลิสงคั่ว, มะพร้าวคั่ว, กุ้งแห้ง, หอมเจียว, หอมแดงซอย และเกสรบัว 1 ดอก ปรุงรสด้วยน้ำเชื่อม (น้ำตาลปี๊บเคี่ยว) พริกป่น และพริกขี้หนูซอย ซึ่งจะใส่ส่วนผสมลงในกะละมังที่เตรียมไว้ คลุกเคล้า และปรุงรสจนใช้ได้

การ ปรุงขายก็จะสอบถามลูกค้าว่าชอบรสชาติประมาณไหน ปรุงตามนั้นก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย ขายในราคา 25-30 บาท (ตามปริมาณเกสรบัว ถ้าลูกค้าต้องการเพิ่มเกสรบัวก็จะต้องเพิ่มเงินอีกเล็กน้อย)

นอกจาก ยำทรงเครื่องเกสรบัวหลวง-มะม่วงมัน คุณน้อยยังให้สูตร “ยำมะม่วงปูจืด” ซึ่งเป็นอีกหนึ่งเมนูเด็ดของร้านด้วย ซึ่งมีส่วนผสมของ มะม่วงซอย, กะปิหอม, หอมแดงซอย, มะพร้าวซอย ปรุงรสด้วยน้ำเชื่อม (น้ำตาลปี๊บเชื่อม) พริกสด และโรยหน้าด้วยปูจืด ซึ่งดองเกลือเอง ขายในราคาถุงละ 25-30 บาท

และ ยังมีสูตร “ยำมะม่วงปลากรอบ” ซึ่งมีส่วนผสมของมะม่วงซอย, หอมแดงซอย, ปลากรอบ, ถั่วลิสงเล็กน้อย ปรุงรสด้วยน้ำเชื่อม (น้ำตาลปี๊บเชื่อม) พริกป่น พริกนี้หนู และน้ำมะนาว ขายในราคาถุงละ 25-30 บาทเช่นกัน

ในแต่ละ วัน คุณน้อยจะลงทุนประมาณ 1,000 บาท โดยถ้าขายหมด หักทุนแล้วจะมีกำไรประมาณวันละ 500 บาท ซึ่งเจ้าตัวบอกว่าไม่ได้มากมาย เพราะใช้ของดี และมือหนัก ใส่เครื่องเยอะ แต่ก็พออยู่ได้

ปัจจุบัน คุณน้อยจะเข็นรถเข็นขายยำระหว่างซอยวุฒากาศ 1 กับซอยวุฒากาศ 11 (ฝั่งธนบุรี) ทุกวัน ตั้งแต่ 12.00-20.00 น. หรือติดต่อที่หมายเลขโทรศัพท์ 08-7543-4130 ทั้งนี้ อาชีพขายอาหารการกินอย่าง “ยำ” นั้น ยังพอไปได้ และ “พลิกแพลงได้หลากหลาย” ก็อยู่ที่ว่าใครจะพลิกแพลงจนโดนใจลูกค้าได้แค่ไหน

ที่ มา เด ลินิวส์


สุภา รัตน์ ยอดศิริวิชัยกุล :รายงาน

คู่มือลงทุน...ยำทรงเครื่อง
ทุน อุปกรณ์ ขึ้นอยู่กับรูปแบบร้าน
ทุนวัตถุดิบ 60-70% ของราคาขาย
รายได้ ขายชุดละ 25-30 บาท
แรงงาน 1 คนขึ้นไป
ตลาด ย่านอาหาร, ย่านชุมชนทั่วไป
จุดน่าสนใจ เครื่องยำแปลก ๆ เป็นจุดขาย

‘จ๊อปลาทู’ พลิกแพลงได้เด่น-เป็นเงิน

“ช่องทางทำกิน” มีการนำเสนออาชีพเกี่ยวกับอาหารแปรรูปอย่างต่อเนื่อง ซึ่งกับ “ฮ่อยจ๊อ” ก็เป็นอีกเมนูที่เคยนำเสนอ แต่ละเจ้าก็จะเด่นกันไปคนละสูตร แต่ก็ใช่ว่าจะไร้ซึ่งการดัดแปลง ล่าสุดมีคนหัวใสนำ “เนื้อปลาทู” มาปรับใช้ จนกลายเป็นเมนูชื่อแปลกหูอย่าง “จ๊อปลาทู” และเป็นอีกอาชีพที่น่าสนใจ...

บุญ ญาพร ตันสกุล เจ้าของสูตร “จ๊อปลาทู” เล่าว่า เดิมทำธุรกิจร้านอาหาร ต่อมามีปัญหาเรื่องพื้นที่ร้าน ประกอบกับเศรษฐกิจไม่ดี จึงเลิก แต่ด้วยความที่เป็นคนรักการทำอาหาร จึงพยายามไปศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับการแปรรูปจากแหล่งต่าง ๆ โดยสนใจการทำฮ่อยจ๊อเป็นพิเศษ
ด้วยความที่อยู่แถบ จ.สมุทรสงคราม ซึ่งเด่นเรื่อง “ปลาทู” และช่วงเดือน พ.ย.-ธ.ค. ปลาทูจะมีมาก แม่ค้ามักขายไม่หมด โดยเฉพาะปลาทูเล็กหรือปลาแมวที่คนไม่นิยมกินเท่าปลาทูตัวใหญ่ ทำให้ราคาตก และเหลือขายยาก จึงคิดว่าคงจะดีถ้าสามารถนำปลาทูที่ว่ามาพัฒนาเป็นเมนูอาหาร จนเกิดเมนู “จ๊อปลาทู” ขึ้น

จุดเด่นของจ๊อปลาทู นอกจากชื่อที่แปลกและแก้ปัญหาเรื่องราคาปลาทูแล้ว บุญญาพรระบุว่า อีกเรื่องคือในเนื้อปลาทูมีคอเลสเตอรอลน้อยกว่าเนื้อปู อีกทั้งราคาก็ถูกกว่าเนื้อปู จึงใส่เนื้อปลาได้มากกว่าการทำฮ่อยจ๊อปู โดยแทบไม่ต้องใช้แป้งเลย โดยเธอเองทำจ๊อปลาทูขายมาตั้งแต่ปี 2551 หลังจากใช้เวลาปรับรสชาติอยู่ระยะหนึ่ง เนื่องจากแรก ๆ ที่ทำจะมีกลิ่นคาวของปลาทูอยู่ ซึ่งลูกค้ามักจะไม่ชอบ ต่อมาก็พบว่าสามารถดับกลิ่นคาวได้โดยทำการขูดหนังปลาทูเพื่อแยกเนื้อปลาออก มา ก็จะสามารถกำจัดกลิ่นคาวที่เป็นปัญหาได้

“แรก ๆ ลูกค้าก็จะถามกันว่าจ๊ออะไร พอรู้ว่าเป็นปลาทูส่วนใหญ่ก็บอกว่าแปลกดี ยิ่งให้ทดลองทานก็พากันแปลกใจว่าทำไมไม่มีกลิ่นคาว เพราะบางคนไม่กล้าทาน สาเหตุเพราะกลัวว่าจะมีกลิ่นคาว ปลา ต่อมาในปี 2552 ก็ลองส่งเข้าประกวดโอทอป ก็ได้รับคัดเลือกเป็นโอทอประดับ 4 ดาวในปีแรกที่ส่ง”

ทุนเบื้องต้นสำหรับอาชีพนี้ บุญญาพรบอกว่าใช้ประมาณ 50,000 บาท ส่วนใหญ่เป็นค่าอุปกรณ์ อาทิ ซึ้งนึ่ง ขนาด 17 นิ้ว, แม่พิมพ์หรือรองพิมพ์สำหรับห่อ, กะละมังสเตนเลส, เขียงขนาดใหญ่, ถุงมือ, ผ้าขาวบาง เป็นต้น ส่วนทุนวัตถุดิบอยู่ที่ประมาณ 60% ของราคาขาย ซึ่งราคาขายก็อยู่ที่เส้นละ 30-35 บาท

ส่วนผสมทำจ๊อ ปลาทู 10 เส้น (ประมาณ 1 กิโลกรัม) ประกอบด้วย เนื้อปลาทู 1 กิโลกรัม, ต้นหอม 2 ขีด, แห้ว 2 ขีด, รากผักชี 1 ขีด, กระเทียม 2 ขีด, มันหมู 1 ขีด, ไข่ไก่ 1 ฟอง, พริกไทย, เครื่องปรุงรส และฟองเต้าหู้ และส่วนผสมของน้ำจิ้มก็มี น้ำบ๊วย, น้ำส้มสายชู, น้ำตาล, เกลือ และพริกไทย
ขั้น ตอนการทำ “จ๊อปลาทู”...เริ่มแรกนำปลาทูมาขูดหนังแยกออกจากเนื้อปลา จนเหลือเพียงเนื้อปลาทูสีออกชมพู จากนั้นนำเนื้อที่ได้มานวดด้วยมือจนพอเหนียวครั้งหนึ่งก่อน ต่อมาจึงนำมันหมูที่เตรียมไว้มาผสมรวมกับเนื้อปลาทู นวดต่อไปอีกครั้งจนส่วนผสมเข้ากันดี นำเครื่องปรุงรสและส่วนผสมทั้งหมดที่เตรียมไว้มาเทใส่รวมกันลงไป จากนั้นก็ทำการนวดอีกครั้งเพื่อให้เนื้อปลาและส่วนผสมต่าง ๆ เข้าเป็นเนื้อเดียวกัน

ลำดับต่อไปนำแผ่นฟองเต้าหู้มาตัดเตรียมไว้ จากนั้นนำผ้าขาวบางชุบน้ำสะอาดบิดพอหมาด ๆ มาห่อแผ่นฟองเต้าหู้ให้พอนิ่ม นำแผ่นฟองเต้าหู้มาวางบนแม่พิมพ์ห่อหรือรองพิมพ์สำหรับห่อ (เจ้าของสูตรคิดประดิษฐ์รองพิมพ์ขึ้นเอง) นำเนื้อปลาทูที่ผสมและนวดจนเหนียวแล้วมาวางเรียงลงบนรองพิมพ์ จากนั้นพับ หัวและท้าย แล้วพับส่วนขอบม้วนให้แน่นไปเรื่อย ๆ เสร็จแล้วนำไปนึ่งโดยใช้ไฟปานกลาง สุกแล้วจึงนำมาตั้งทิ้งไว้ให้เย็น ก่อนบรรจุจำหน่ายต่อไป โดย “จ๊อปลาทู” นี้สามารถอยู่ได้เป็นเดือนถ้านำใส่ไว้ในช่องฟรีซหรือช่องแช่แข็ง

“จ๊อ ปลาทูนี้จะใส่แห้ว ซึ่งจะหอมและกรอบมากกว่ามันแกวที่ใช้ใส่จ๊อปู ส่วนมันหมูใส่เพียงเล็กน้อยเพื่อให้เนื้อจ๊อนุ่ม ถ้าไม่ใส่เลยเนื้อจ๊อจะกระด้าง อีกอย่างคือช่วยเพิ่มรสชาติให้กับจ๊อปลาทู เพราะถ้าใช้เนื้อปลาทูเพียงอย่างเดียว จ๊อที่ได้จะมีรสเปรี้ยวเกินไป เนื่องจากรสของเนื้อปลาทูจะออกเปรี้ยว” เจ้าของสูตรกล่าว

สนใจ “จ๊อปลาทู” ต้องการชิม ต้องการรับไปจำหน่ายต่อเป็นอาชีพ ติด ต่อคุณบุญญาพรได้ที่ เลขที่ 102/7 ซอยบางจะเกร็ง 3 ต.บางจะเกร็ง อ.เมือง จ.สมุทรสงคราม โทร.08-6977-8546 หรืออยากจะขอข้อมูลเพิ่มเติมก็ลองสอบถามกันดูโดยตรง นี่ก็เป็นอีก “ช่องทางทำกิน” ที่พลิกแพลงได้น่าสนใจ.

ที่มา เด ลินิวส์
ศิริโรจน์ ศิริแพทย์

‘กาแฟ ชัก’ เทไปเทมา ‘ท่าทำเงิน’

นอกจาก “ชาชัก” ที่ยุคนี้มีขายทั่วไป ไม่ใช่มีแค่เฉพาะถิ่น ซึ่งก็ได้รับความนิยมเป็นอย่างดีแล้ว ก็มีร้านที่เปิดขาย “กาแฟชัก” ที่มีรสชาติน่าสนใจ และก็น่าจะเป็น “ช่องทางทำกิน” ที่น่าสนใจด้วย...

อุดม พงศ์กระพันธุ์ เป็นเจ้าของร้าน “อุดมกาแฟชัก” ซึ่งวันนี้ได้ใช้ร้าน “ติ๊กคาเฟ่” ซึ่งเป็นร้านของน้องสาว อยู่ใต้ตึกศูนย์ปฏิบัติการทัศนศิลป์สิรินธร มหาวิทยาลัยศิลปากร วิทยาเขตพระราชวังสนามจันทร์ จ.นครปฐม เปิดสูตร และวิธีทำ “กาแฟชัก” กับทีม “ช่องทางทำกิน” โดยอุดมบอกว่า กาแฟชักเป็นอาชีพประจำครอบครัวมานานแล้ว โดยเริ่มแรกมีร้านขายที่มหาวิทยาลัยศิลปากร วิทยาเขตวังท่าพระ ช่วงระยะเวลาหนึ่ง ภายหลังจึงมาเปิดร้านที่มหาวิทยาลัยศิลปากร วิทยาเขตพระราชวังสนามจันทร์ จ.นครปฐม และก็ออกร้านไปกับกระทรวงพาณิชย์ตามงานต่าง ๆ มาจนทุกวันนี้

อุดมเล่าถึงกรรมวิธีอาชีพนี้ว่า ไม่ใช่เรื่องยาก ก็เตรียมอุปกรณ์สำหรับร้านขายกาแฟ หลัก ๆ ก็คือหม้อชงกาแฟ ส่วนวัตถุดิบหลัก ๆ ก็มี เมล็ดกาแฟสด, เนย และน้ำตาล จากนั้นทำการคั่วเมล็ดกาแฟ เสร็จแล้วนำเมล็ดกาแฟที่คั่วแล้วมาบดละเอียดพอประมาณ ก่อนนำไปชง

สำหรับ ส่วนผสมและสัดส่วนในการคั่ว ก็คือ ใช้เมล็ดกาแฟสด (โรบัสต้า) 10 กก., เนย 500 กรัม, น้ำตาลทราย 2 กก., เกลือ 300 กรัม รวมเป็นน้ำหนักรวม 12.8 กก. โดยที่กาแฟสดเมื่อคั่วแล้วจะเหลือน้ำหนักประมาณ 7 กก. และเก็บไว้ใช้งานได้ไม่เกิน 1 เดือน

การชงกาแฟ ส่วนผสมก็มีผงกาแฟบด น้ำร้อน นมข้นหวาน นมสด สัดส่วนการชงกาแฟคือ ผงกาแฟบด 6 ช้อน 300 กรัม, นมข้น 1 กระป๋อง 390 กรัม, นมสด 1/2 กระป๋อง 180 กรัม และน้ำร้อน 800 ซีซี

วิธี การ เตรียมน้ำร้อนชนิดเดือดจัดไว้ นำผงกาแฟใส่ในถุงกาแฟ จากนั้นราดน้ำร้อนลงบนถุงกาแฟเพื่อให้น้ำกาแฟออกมา ซึ่งน้ำกาแฟที่ได้นั้นจะมีสีดำ และรสชาติดี (หากใช้น้ำไม่ร้อนน้ำกาแฟจะไม่ออกสี และไม่มีรสชาติ) ส่วนนมข้นหวานใส่ลงไปบนหม้ออีกใบเตรียมไว้ แล้วนำน้ำกาแฟที่ชงเสร็จแล้ว เทลงในหม้อที่มีนมข้นหวานที่เตรียมไว้ แล้วชงให้ลูกค้า ส่วนนมสดจะใส่เป็นขั้นตอนสุดท้ายเพื่อเพิ่มความมันตอนที่จะขายให้ลูกค้า

เคล็ด ลับในการชง การชงกาแฟโบราณนั้นน้ำต้องเดือดจัดถึง 100 องศา จะทำให้กาแฟหอมและข้น เมื่อผสมกับนมจะรสชาติพอดี (ไม่ควรใส่น้ำตาลในกาแฟที่ต้องใส่นมข้นอยู่แล้ว จะทำให้รสชาติไม่หวานกลมกล่อม และที่สำคัญไม่ควรเก็บกาแฟที่ปรุงแล้วเกิน 1 วัน และควรเก็บอยู่ในอุณหภูมิที่เหมาะสม)

การชงและชักกาแฟชักนั้น ก็เตรียมกระป๋อง 2 กระป๋อง ใส่กาแฟ 1 กระป๋อง เป็นกระป๋องเปล่า 1 กระป๋อง ทำการเทไปเทมาหรือ “ชัก” ระหว่างกระป๋อง ชักกาแฟไปมาประมาณ 5-6 ครั้ง จะได้รสชาติที่นุ่มและกลมกล่อมพอดี ซึ่งวิธีการ ลีลาการชัก ลูกเล่นต่าง ๆ ก็ขึ้นอยู่กับผู้ชัก ซึ่งต้องฝึกฝน และใช้ประสบการณ์ล้วน ๆ

ทั้งนี้ กาแฟ 1 ลิตร จะขายได้ 12 แก้ว (ขนาด 16 ออนซ์) ขายในราคาแก้วละ 15 บาท โดยมีต้นทุนต่อลิตรประมาณ 55-60 บาท (ไม่รวมต้นทุนแก้ว น้ำแข็ง และนมสด) ซึ่งวิธีการขายคือใส่น้ำแข็งในถ้วย ใส่นมสด กาแฟ และเทนมสดราดอีกครั้ง

ใน ส่วนของ “ชาชัก” นั้น อุดมก็ให้ข้อมูลว่า ใช้ชาผงอัสสัม, น้ำร้อน และนมข้น สัดส่วนคือ ชาผง 4 ช้อนโต๊ะ, น้ำร้อน 800 ซีซี และนมข้น 1.5 กระป๋อง วิธีการชงชาคือ เตรียมน้ำร้อนชนิดเดือดจัดไว้ นำผงชาใส่ในถุงชา (เหมือนกับถุงกาแฟ) จากนั้นราดน้ำร้อนลงบนถุงชาเพื่อให้น้ำชาออกมา ส่วนนมข้นหวานใส่ลงในหม้ออีกใบเตรียมไว้ แล้วนำน้ำชาเทลงในหม้อที่มีนมข้นหวานที่เตรียมไว้ แล้วชงให้ลูกค้า

วิธี ชักชา ก็เตรียมกระป๋อง 2 กระป๋อง ใส่ชา 1 กระป๋อง กระป๋องเปล่า 1 กระป๋อง ชักหรือเทไปเทมา ประมาณ 5-6 ครั้ง จะได้ชารสชาตินุ่มและกลมกล่อมพอดี เช่นเดียวกับการชักกาแฟ และก็เช่นเดียวกับกาแฟชัก คือ ชา 1 ลิตรจะขายได้ราว 12 แก้ว ราคาแก้วละ 15 บาท โดยที่ต้นทุนชาต่อลิตรคือ 50-60 บาท ส่วนวิธีการขาย คือ ใส่น้ำแข็งในถ้วย ใส่นมสด ชา และราดนมสดอีกครั้ง

สนใจ “กาแฟชัก” หรือ “ชาชัก” ของอุดม ก็ไปชิมได้ที่ร้านติ๊กคาเฟ่ ใต้ตึกศูนย์ปฏิบัติการทัศนศิลป์สิรินธร มหาวิทยาลัยศิลปากร วิทยาเขตพระราชวังสนามจันทร์ จ.นครปฐม โทร. 08-7317-8189.


ที่มา เดลินิวส์
สุภารัตน์ ยอดศิริวิชัยกุล : รายงาน/จเร รัตนราตรี : ภาพ

Happy Cake มิติใหม่เบเกอรี่ ทำเองได้ ขายความสนุก

ใครเคยทำขนมเค้กด้วยตัวเอง คงรู้ดีว่า กว่าจะทำเสร็จต้องผ่านขั้นตอนต่างๆ หลายชั้น

ใช้อุปกรณ์หลายชิ้น ประกอบกับต้องมีเคล็ดลับเฉพาะตัวถึงจะได้เค้กออกมาเนื้อนุ่มฟู รสชาติหอมหวานอร่อย

จากปัญหาความยุ่งยากในการทำดังกล่าว จุดไฟให้ “วิเชียร วงษ์สุรไพฑูรย์” กรรมการผู้จัดการบริษัท เส้นหมี่เหรียญไทย จำกัด สร้างสรรค์ “Happy Cake” นวัตกรรมใหม่ขนมเค้กทำได้ง่ายๆ แค่ใส่ส่วนผสมสำเร็จรูปลงไปถ้วย แล้วเข้าไมโครเวฟ 2.5 นาที ก็จะออกมาเป็นขนมเค้กชั้นยอดพร้อมกินได้ทันที

วิเชียร เล่าว่า บริษัทผลิตสินค้าต่างๆ เกี่ยวกับแป้ง ในยี่ห้อ “สิงห์ดาว” (STAR LION) มาตั้งแต่รุ่นปู่ พ่อ จนมาถึงเขารับช่วงกิจการ พยายามต่อยอดธุรกิจ คิดค้นสินค้านวัตกรรมจากแป้งออกสู่ตลาดต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2540 เช่น เส้นหมี่ข้าวกล้อง เส้นขนมจีนอบแห้ง ฯลฯ เพื่อสร้างจุดเด่น และขยายตลาดสู่ต่างประเทศ


หลักคิดเพื่อก้าวสู่เวทีโลกนั้น เจ้าของธุรกิจ เผยว่า พยายามพัฒนาวัตถุดิบแป้งในประเทศให้สามารถทำเมนูสากลได้ ซึ่งพฤติกรรมผู้บริโภคชาวตะวันตกจะกินเบเกอรี่หรือเค้กเป็นหลัก แป้งที่ใช้ทำ คือ “แป้งสาลี” ส่วนประเทศไทยต้องนำเข้าแป้งสาลี ปีละหลายหมื่นล้านบาท ทั้งๆ ที่ “แป้งข้าวเจ้าไทย” มีคุณสมบัติสามารถทำเค้กได้ดีไม่แพ้กัน

นอกจากนั้น จากการศึกษาพบว่า ในแป้งสาลีมีสาร “กลูเต็น” ซึ่ง 2 ใน 1,000 คน จะมีอาการแพ้เป็นผื่นคันหรือลมพิษได้ ขณะที่แป้งข้าวเจ้าปลอดจากสารตัวนี้100% จึงเห็นช่องทางจะใช้จุดนี้ผลักดันแป้งข้าวเจ้าใช้ทำเค้กทดแทนแป้งสาลี ซึ่งนอกจากจะเป็นโอกาสของบริษัทแล้ว ยังมีส่วนช่วยเกษตรกรไทยอีกด้วย

วิเชียร ขยายความอีกว่า นวัตกรรมการผลิตแป้งเค้กข้าวเจ้า เป็นความร่วมมือระหว่างบริษัทกับมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มีส่วนผสมจากแป้งข้าวเจ้า 3-4 สายพันธุ์ ใช้เวลาวิจัยและพัฒนานานกว่า 4 ปี ด้วยทุนกว่า 10 ล้านบาท โดยเปิดตัวครั้งแรกเมื่อกลางปี 2550 ในแบบผงแป้งเค้กข้าวเจ้าบรรจุกล่อง ส่งออกไปกว่า 10 ประเทศทั่วโลก เช่น กลุ่มอียู ออสเตรเลีย เป็นต้น

และล่าสุด ได้ทุ่มงบอีกกว่า 10 ล้านบาทต่อยอดนวัตกรรมมาทำเป็นเค้กที่ทุกคนเองอย่างง่ายๆ ในรูปแบบ “ควิกคัพเค้ก”(Quick Cup Cake) แบรนด์ “Happy Cake”โดยเป็นถ้วยพลาสติก ภายในมีผงแป้งเค้กข้าวเจ้า และช็อกโกแลตก้อนบรรจุซอง ขั้นตอนการทำง่ายๆ เพียงเท นมสด น้ำมันพืช ไข่ไก่ 1 ฟอง และผงแป้งเค้กข้าวเจ้าลงในถ้วย คนให้เข้ากันแล้วนำเข้าไมโครเวฟ ระดับความร้อนสูงสุด แค่ 2.5 นาที ก็จะออกมาเป็นก้อนเค้กพร้อมกิน แล้วนำช็อกโกแลตก้อนมาละลายบนก้อนเค้กร้อนๆ เพื่อแต่งหน้า นอกจากนั้น สามารถพลิกแพลงนำเครื่องเคียงอื่นๆ มาประดับเพื่อสร้างสีสันเพิ่มความอร่อยยิ่งขึ้น

เจ้าของธุรกิจ ยอมรับว่า รูปแบบ “ควิกคัพเค้ก” ในต่างประเทศมีมานานพอสมควรแล้ว ทว่า บริษัทเป็นผู้ผลิตชาวไทยรายแรก และยังเป็นรายแรกในโลกที่ใช้วัตถุดิบแป้งจาก “ข้าวเจ้า” อีกทั้ง กระบวนทำของ Happy Cake พัฒนาให้ง่ายกว่าที่เคยมีมา

จุด เด่นอีกด้านของ Happy Cake อยู่ที่ความสนุกสนาน ผู้ทำสามารถแต่งหน้าเค้กด้วยตัวเอง หรือทำเค้กกับสมาชิกในครอบครัว ถือเป็นช่วงเวลาแห่งอบอุ่นที่ทุกคนได้ใช้เวลาร่วมกัน

“ผมมีความเชื่อ ว่า ผู้หญิงที่รักการทำขนมทุกคน อยากทำขนมเค้กเป็น ดังนั้น จึงช่วยเพิ่มความสะดวก เมื่อทำเสร็จจะเกิดความภาคภูมิใจ หรือเด็กๆ ที่ทำอาหารไม่ เป็นเลย แต่อยากทำเค้กมอบให้คุณพ่อคุณแม่ในวาระพิเศษๆ ด้วยตัวเอง ก็สามารถทำได้ รวมถึง อยากจะแต่งหน้าเค้กหรือดัดแปลงเค้กอย่างไรก็ได้ ตามจินตนาการ ซึ่งเป็นเสน่ห์ที่ทำให้ทั้งคนทำและผู้รับมีความสุขร่วมกัน” วิเชียร กล่าว

ด้าน รสชาตินั้น ผ่านการวิจัยและพัฒนาจนได้รสชาติที่เชื่อว่า คนส่วนใหญ่จะถูกปาก ได้รับเครื่องหมาย “เชลล์ชวนชิม” การันตี ขณะที่ด้านการผลิตผ่านมาตรฐานด้านอาหารครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็น อย. ฮาลาล GMP HACCP เป็นต้น

ทั้งนี้ ราคาขายอยู่ ที่ ถ้วยละ 69 บาท (น้ำหนัก 135 กรัม) มีด้วยกัน 4 รส ได้แก่ เค้กวานิลาหน้าช็อกโกแลตขาว เค้กวานิลาช็อกโกแลตดำ เค้กมอคคา และเค้กช็อกโกแลต สามารถเก็บไว้นานเป็นปี มีจุดขายใน ซูเปอร์มาร์เกตตามห้างสรรพสินค้าต่างๆ วางกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย คือ ตั้งแต่เด็ก วัยรุ่น ผู้ใหญ่ กลุ่มครอบครัว และร้านกาแฟต่างๆ ซื้อไปบริการลูกค้าในร้าน เป็นต้น

วิเชียร เผยด้วยว่า แม้จะเปิดตัวไม่นาน Happy Cake ได้ผลตอบรับน่าพอใจ ทั้งตลาดในและต่างประเทศ เพราะเริ่มแรกผู้บริโภคต้องการซื้อประสบการณ์จากความเป็นสินค้าแปลกใหม่ เมื่อได้ทดลองแล้ว เกิดความประทับใจ ช่วยเติมเต็มความต้องการ โดยเฉพาะคนเมือง ซึ่งยากจะมีโอกาสทำเค้กได้เอง ลูกค้ากลุ่มนี้จึงกลับมาซื้อซ้ำไว้ประจำครัวเรือน

ส่วนแผนการตลาดใน ปีนี้ (2551) จะใช้ Happy Cake เป็นหัวหอกในการบุกตลาดต่างประเทศ เน้นที่การสร้างเครือข่ายตัวแทนจำหน่ายให้ครอบคลุมมากที่สุด ตั้งเป้าคืนเงินลงทุนได้ภายใน 3 ปี อีกทั้งไม่หยุดนิ่งที่จะออกสินค้านวัตกรรมใหม่จากแป้งต่อเนื่อง

“แม้ ปัจจุบันการทำธุรกิจต่างๆ จะต้องพบปัจจัยลบมากมาย แนวทางที่พาบริษัทฝ่าวิกฤตไปได้ ผมพยายามปรับองค์กรสู่การสร้างนวัตกรรม ซึ่งเป็นการลงทุนที่ประหยัดและคุ้มค่ามากที่สุด ถ้าวันนี้ผมยังยึดกับการทำแป้ง หรือเส้นหมี่อย่างเดียว การค้าทุนนิยมก็จะขับเราออกจากตลาด ดังนั้น ผมจึงเน้นสร้างนวัตกรรมใหม่จากพื้นฐานธุรกิจเดิม เพื่อเพิ่มมูลค่า และจุดเด่นเฉพาะตัว อย่าง Happy Cake ผมขอแค่ผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมาย ซื้อกินเดือนละ 1 ครั้ง ก็เป็นตลาดที่ใหญ่มากสำหรับเราแล้ว”

ที่มา : ผู้จัดการออนไลน์

รายได้เสริม ขนมเปี๊ยะอบเทียน

“ช่องทางทำกิน” วันนี้ทางทีมงานมีข้อมูลเกี่ยวกับ “ขนมเปี๊ยะ”มานำเสนอกันอีกครั้ง-อีกรูปแบบ เป็น “ขนมเปี๊ยะอบเทียน” สูตรโบราณ แห่งจ.นครปฐม ที่มีผู้ติดอกติดใจในรสชาติไม่น้อยเลย…

สม ทรง นาคศรีสังข์ เจ้าของขนมเปี๊ยะอบเทียน “ครูสมทรง” ใน อ.บางเลน จ.นครปฐม เล่าว่า ทำขนมเปี๊ยะอบเทียนมานาน 7-8 ปีแล้วเริ่มทำตั้งแต่สมัยยังรับราชการเป็นครู โดยมีเพื่อนสอนให้และส่วนตัวก็เป็นคนชอบทำขนมและอาหารเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ดังนั้นการทำขนมเปี๊ยะจึงเป็นเรื่องไม่ยากเกิน

ที่เลือกขนมเปี๊ยะมา ใช้ค้าขาย เพราะว่าวัตถุดิบอย่างแป้ง ถั่ว เก็บได้ไม่เสียไม่เหมือนกับค้าขายอาหารอีกหลายอย่างที่เก็บไว้นานไม่ได้ เพราะของจะเสียและไข่เค็มที่ต้องใช้ด้วยนั้นในบางเลนก็หาได้ง่ายมากจึงสะดวก ที่จะเลือกทำขนมเปี๊ยะขาย ซึ่งช่วงหลัง ๆ สุขภาพไม่ค่อยดีจึงเออรี่รีไทร์จากข้าราชการมาค้าขายเต็มตัว

ใช้ เทียนหอมอบ เป็นสูตรโบราณ เทียนหอมปัจจุบันราคาค่อนข้างสูง แต่ก็ต้องทำตามมาตรฐานเดิมทุกอย่าง เพื่อความหอมอร่อย

ขนมเปี๊ยะอบ เทียนเจ้านี้มีหลายไส้-หลายแบบ อาทิ ถั่ว-ไข่เค็ม, เผือก,พริกเผา, เผือก, ถั่วดำ, งาดำ และยังมีกะหรี่ปั๊บด้วยส่วนขนมเปี๊ยะที่ขายดีเป็นพิเศษก็เห็นจะเป็นไส้ถั่ว -ไข่เค็ม, เผือกและพริกเผา โดยขนมเปี๊ยะนั้นแม้ว่าในช่วงเศรษฐกิจซบเซาขาลงยอดขายก็ไม่เคยตก ยิ่งเป็นช่วงเทศกาลยิ่งทำขายกันแทบไม่ทัน

มาดูกันว่า “ขนมเปี๊ยะอบเทียน” บางเลนนั้น ทำกันอย่างไร ?

ครูสมทรงอธิบายว่า ทำเหมือนกับขนมเปี๊ยะทั่ว ๆ ไปคือ ต้องมี “แป้งใน” กับ “แป้งนอก”และ ต้องนวดแป้งในก่อน ซึ่งนวดผสมระหว่างแป้งสาลี 1 กก. และน้ำมันพืชหรือเนย 400 กรัม (ของครูสมทรงใช้น้ำมันพืช) เมื่อนวดจนเข้ากันแล้วให้แบ่งแป้งออกมาเป็นก้อนเล็ก ๆ ขนาดหัวแม่มือเตรียมไว้

ส่วนแป้งนอกผสมระหว่างแป้งสาลี 1.5 กก., น้ำมันพืช 800 กรัม, น้ำตาลทราย 300-400กรัม, เกลือนิดหน่อย และน้ำเปล่า 1,100 กรัมนวดด้วยเครื่องให้เข้ากันจนแป้งเนียน แล้วปั้นออกมาเป็นก้อน ๆขนาดเท่ากับหัวแม่มือเช่นเดียวกับแป้งใน

สำหรับ “ไส้ถั่วกวน”ใช้ เม็ดถั่วเขียวผ่าซีก 1 กก. แช่น้ำ 2-3 ชั่วโมง (ถ้าแช่น้ำร้อนจะดีมากเพราะถั่วจะนิ่ม) แล้วนำไปนึ่งให้สุก นำไปบดให้ละเอียดและกวนกับน้ำตาลทราย 700-800 กรัม และกะทิอีก 400 กรัม จนเข้ากันส่วนไข่เค็มนั้น ใช้ไข่แดงจากไข่เป็ดดิบนำไปนึ่งให้สุก

นำ แป้งในและแป้งนอกที่ปั้นเป็นก้อนกลมมารีดออกเป็นแผ่น ๆ วางทับซ้อนกันโดยแป้งนอกห่อแป้งใน รีดแล้วพับ พับแล้วรีด เพื่อให้เกิดชั้นขึ้นมาเมื่อได้ชั้นตามสมควรแล้วก็มาใส่ไส้ถั่วและไข่เค็ม ห่อปิดให้เรียบร้อยทาหน้าด้วยไข่แดงเพื่อเวลาอบสุกจะได้ออกมาเป็นสีเหลือง นวลน่ารับประทาน

อบด้วยความร้อน 250 องศาฯ ใช้เวลา 21 นาที

เมื่อ อบสุกแล้วนำออกมาผึ่งให้เย็นด้วยการเป่าพัดลม หรือผึ่งในห้องแอร์แล้วอบด้วยเทียนควั่นอีกประมาณ 1-3 ชั่วโมง เพื่อความหอมน่าทานและคงสไตล์แบบเดิม ซึ่งครูสมทรงบอกว่ายิ่งอบเทียนนานก็ยิ่งหอมอร่อยไม่ต้องใช้วิธีแต่งกลิ่นให้ เสียรสชาติ โดยจะอบเป็นถาดใส่ในตู้อบด้วยเทียนควั่นคราวละหลาย ๆ แท่ง

ใน ส่วนของ “ไส้เผือก”นั้น วิธีการทำใช้เผือกนึ่งสุกนำไปกวนกับกะทิและน้ำตาลทรายซึ่งวิธีทำเหมือนถั่ว กวนทุกอย่าง ขณะที่ “ไส้น้ำพริกเผา” นั้น ใช้ไก่บด(แทนหมู เพราะมีลูกค้าที่เป็นมุสลิม) ผัดกับน้ำพริกเผา กระเทียมและกุ้งแห้ง เมื่อผัดเข้ากันแล้ว ใส่ถั่วกวนลงไปผัดให้เข้ากันด้วย

จากสูตรแป้ง ขนมเปี๊ยะข้างต้น เป็นสูตรคร่าว ๆ ของการผสมแป้งซึ่งในการทำขายนั้น เมื่อนวดแป้งออกมาแล้ว แบ่งสูตรแป้งออกเป็นสูตรละ 550กรัม ซึ่งจะปั้นออกมาได้ประมาณ 120 ชิ้น โดยที่ราคาขายคือชิ้นละ 5 บาท

ต้อง มีความซื่อสัตย์ และรักษามาตรฐานให้ได้เหมือนเดิม ไม่ว่าต้นทุนจะสูงขึ้นไปมากเท่าใดก็ตาม
ครูสมทรงบอกเคล็ดลับการค้าขายขนม เปี๊ยะที่ยังขายดิบขายดีท่ามกลางเศรษฐกิจชะลอตัว

สนใจ“ขนมเปี๊ยะอบ เทียน” ครูสมทรง ติดต่อได้ที่ร้านอยู่ตรงข้ามธนาคารไทยพาณิชย์สาขาบางเลน จ.นครปฐม หรือโทรศัพท์0-3439-1376, 0-3430-2534 และ 08-1206-0041


สุภา รัตน์ ยอดศิริวิชัยกุล :รายงาน / จเร รัตนราตรี :ภาพ

จาก เดลินิวส์

"กระเพาะปลาน้ำแดง" "เพื่อสุขภาพ"เพิ่มจุดขาย !

การขายอาหารการกินใน ปัจจุบัน ไม่ว่าจะร้านเล็ก-ร้านใหญ่ นอกจาก ราคาเป็นธรรม ใส่ใจเรื่องความสะอาดแล้ว ควรให้ความสำคัญกับเรื่องสุขภาพผู้บริโภคด้วย ซึ่งกับ “กระเพาะปลาน้ำแดงยอดมะพร้าว-แปะก๊วย” ที่ทีม “อาชีพเสริม สร้างรายได้” มีข้อมูลมานำเสนอวันนี้ ก็ใส่ใจสุขภาพลูกค้าจนเป็นจุดขายที่ดีทีเดียว...

“กระเพาะปลาน้ำแดง ยอดมะพร้าว-แปะก๊วย” เจ้านี้ ธรรมดาแต่ไม่ธรรมดาสำหรับคนรักสุขภาพ ผู้ปรุงขายนั้นเป็นอดีตข้าราชการของสถาบันมะเร็งฯในตำแหน่งโภชนากรดูแลอาหาร ผู้ป่วย เมื่อเกษียณอายุราชการแล้วก็เปิดกิจการเล็ก ๆ ขายกระเพาะปลาน้ำแดงยอดมะพร้าวฯ และก็เป็นที่นิยมของลูกค้ามากทีเดียว

อา รยา ปั้นพิพัฒน์ หรือ ป้าเจียม เจ้าของสูตร เล่าว่า ทำกระเพาะปลาน้ำแดงยอดมะพร้าว-แปะก๊วยขายมาตั้งแต่ พ.ศ. 2543 ก็เป็นเวลากว่า 9 ปีแล้ว กระเพาะปลาที่ทำขายนั้นนอกจากเน้นความอร่อยแล้วยังให้ความสำคัญเรื่องสุขภาพ ด้วย จะไม่ใส่เครื่องใน ใช้ยอดมะพร้าวแทนหน่อไม้ เสริมด้วยเม็ดแปะก๊วยซึ่งดีต่อสุขภาพ และจะไม่ใส่น้ำปลาและชูรส ที่สำคัญจะไม่ใส่สารกันบูด แต่แป้งก็ไม่มีการคืนตัว
สำหรับ อุปกรณ์ในการทำกระเพาะปลาน้ำแดงขายนั้น ถ้าทำขายเล็ก ๆ อุปกรณ์ การทำก็เป็นพวกเครื่องครัวต่าง ๆ เช่น เตาแก๊ส หม้อ จาน ฯลฯ และก็ควรต้องมีหม้อใส่กระเพาะปลาขายโดยเฉพาะด้วย

ส่วนสูตรและวิธีทำ กระเพาะปลาน้ำแดงยอดมะพร้าว-แปะก๊วยเจ้านี้ เริ่มที่ทำน้ำซุป โดยใส่น้ำสะอาดในหม้อเบอร์ 40 ต้มน้ำให้เดือด จากนั้นใส่โครงไก่หักครึ่ง 2 กก. รากผักชี 200 กรัม และพริกไทยดำ 200 กรัม ปรุงรสด้วยซอส 2 ถ้วย ซีอิ๊ว 1/2 ถ้วย และน้ำตาลกรวด 500 กรัม น้ำซุปนี้ต้มเคี่ยวประมาณ 3 ชั่วโมง

เมื่อ ขั้นตอนการต้มน้ำซุปเรียบร้อยแล้ว ก็มาถึงขั้นตอนการทำกระเพาะปลาน้ำแดงยอดมะพร้าว-แปะก๊วย โดยใส่กระเพาะปลา 1,500 กรัม (แช่น้ำให้นุ่ม ต้มให้สุก ล้างด้วยน้ำเย็น บีบให้พอหมาด ๆ แล้วหั่นเป็นชิ้น ๆ) แล้วใส่ เห็ดหอม 300 กรัม (แช่น้ำให้นิ่ม และหั่นเป็นชิ้น ๆ เช่นกัน)

ใส่ยอดมะพร้าวหั่นต้ม 1.5 กก. จากนั้นค่อย ๆ ละลายแป้งท้าวยายม่อมและแป้งถั่วอย่างละ 200 กรัม กับน้ำในปริมาณที่พอประมาณ ดูว่าไม่ใสเกินไป-ไม่ข้นเกินไป ละลายแป้งแล้วก็ใส่ลงไปในหม้อ ตามด้วยใส่เลือดไก่ 5 ถ้วย ซึ่งต้องล้าง และต้มให้สุกเสียก่อน จากนั้นใส่ไข่นกกระทาต้ม 50 ฟอง เท่านี้ก็เรียบร้อยไปส่วนหนึ่ง

ในส่วนของเม็ดแปะก๊วยนั้น จากสูตรส่วนผสมข้างต้น จะใช้ประมาณ 1.5 กก. (ล้างให้สะอาด และต้มให้สุก) โดยจะแยกไว้ต่างหากไม่ใส่ผสมเลยทีเดียว และรวมถึงเส้นหมี่ลวกสุกกับผักชีหั่น ที่ก็แยกไว้เช่นกัน

นอกจากนี้ ก็ต้องเตรียมน่องไก่และปีกไก่ตุ๋น 2 กก. (การตุ๋นน่องไก่หรือปีกไก่นั้นให้นำลงต้มพร้อมกับน้ำซุปกระเพาะปลาให้สุก ก่อน เมื่อน่องไก่หรือปีกไก่สุกแล้วก็ให้ตักออกมาใส่หม้อตุ๋นอีกใบต่างหาก โดยตุ๋นด้วยน้ำซุปกระเพาะปลาที่แบ่งมา และปรุงรสด้วยซีอิ๊วดำพอประมาณ ตุ๋นไปจนงวดก็เป็นอันใช้ได้)

การขาย ก็ตักกระเพาะปลาใส่ถุงหรือชาม ขายชุดละ 25 บาท โดยกะปริมาณกระเพาะปลา ยอดมะพร้าว เส้นหมี่ และแป้ง ให้พอดี ๆ ใส่ไข่นกกระทา 2 ฟอง, น่องไก่หรือปีกไก่ 1 ชิ้น และเม็ดแปะก๊วยต้มจำนวนหนึ่ง โรยหน้าด้วยผักชีซอย และพริกไทย เสิร์ฟ-ขายพร้อมเครื่องปรุง อาทิ น้ำตาลทราย,จิ๊กโฉ่ว

จากปริมาณส่วน ผสมที่ว่ามาข้างต้นนั้น เจ้าของสูตรนี้บอกว่า ถ้าขายหมดจะมี รายได้ประมาณ 2,000 บาท โดยต้นทุนจะอยู่ที่ประมาณ 1,000 บาท ซึ่งก็นับว่าเป็นเมนูอาหารที่สร้างรายได้น่าสนใจทีเดียว

ใครสนใจ “กระเพาะปลาน้ำแดงยอดมะพร้าว-แปะก๊วย” สูตร ของป้าเจียม-อารยา อยากชิม หรือต้องการติดต่อไปออกร้าน ก็ติดต่อสอบถามไปได้ที่ โทร. 0-2526-5681, 08-1699-7505, 08-9484-7167 ส่วนใครที่ได้ไอเดียทำกินจากอาหารที่เน้นสรรพคุณเพื่อสุขภาพเป็นจุดขาย ก็รีบฝึกฝนเพื่อทำขาย อย่ารอช้า !!.

สุภารัตน์ ยอดศิริวิชัยกุล : รายงาน-----------ที่มา เดลินิวส์

‘ทองพับ แคลเซียม’ เพิ่มคุณค่า-เพิ่มจุดขาย

ขนมธรรมดา สามารถทำให้ไม่ธรรมดาได้ด้วยการนำคุณค่าทางอาหารมาเสริมเข้าไป ทำให้ขนมไทยกลายเป็นอาหารสุขภาพ กลายเป็น “ช่องทางทำกิน” ที่สนใจมากขึ้น อย่างเช่น “ทองพับเสริมแคลเซียม”

ปลั่ง เสนาะคำ เจ้าของผลิตภัณฑ์ “ทองพับเสริมแคลเซียม” ยี่ห้อ “คุณย่าปลื้ม” เล่าว่า เดิมเปิดร้านข้าวแกงและของชำ ต่อมาเข้าร่วมโครงการกับสถาบันวิจัยโภชนาการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์อาหารว่าง สุขภาพ มหาวิทยาลัยมหิดล ซึ่งก็ได้เลือกทำทองพับเสริมแคลเซียม และกลายมาเป็นรายได้เสริมที่ดีทีเดียว

การทำทองพับเสริมแคลเซียมนั้น อุปกรณ์ที่ใช้มี อาทิ ชามผสม ที่ตีไข่ เกรียงแซะอาหาร กระชอนร่อนแป้ง ถ้วยตวง ช้อนตวง และเครื่องพิมพ์ปิ้งทองพับไฟฟ้า 2 หัว ส่วนวัตถุดิบ ได้แก่ แป้งสาลีอเนกประสงค์ 700 กรัม, น้ำตาลทราย 300 กรัม ต้มเป็นน้ำเชื่อมได้ 1 กก., เกลือไอโอดีน 10 กรัม, กะทิมะพร้าว 500 กรัม, นมถั่วเหลืองต้มไม่ใส่น้ำตาล 500 มล. (ใช้ทดแทนกะทิร้อยละ 50 เพื่อลดปริมาณไขมันอิ่มตัว), น้ำปูนใส 150 กรัม, ไข่ไก่ 6 ฟองเล็ก, งาดำคั่ว 50 กรัม, น้ำเปล่า 720 มล. และ ไตรแคลเซียมฟอสเฟต 15.6 กรัม (ผงแคลเซียม)

ปริมาณส่วนผสมข้างต้น เป็นแป้งที่เตรียมไว้ทั้งหมด 5 สูตร แต่แบ่ง 4 ส่วนใช้กับแต่ละรส รสละ 1 ส่วน ซึ่งเมื่อผสมออกมาแล้วจะได้ส่วนผสมแป้งที่เมื่อแบ่งออกเป็น 4 ส่วน จะได้ส่วนละประมาณ 760 กรัม

4 รสที่ว่าก็มี รสกล้วยหอม ใช้กล้วยหอมสุกงอม 300 กรัม ผสมแป้ง 1 ใน 4 ส่วน, รสเผือก ใช้เผือกต้มบดละเอียด 300 กรัม, รสฟักทอง ใช้ฟักทองต้มบดละเอียด 300 กรัม และ รสดั้งเดิม ไม่ต้องผสมอะไร

การใช้กล้วย, เผือก และฟักทอง เป็นการดัดแปลงให้เพิ่มคุณค่าสารอาหารที่เป็นประโยชน์อื่น ๆ ได้ด้วย

วิธี ทำ เริ่มที่แช่ปูนที่กินกับหมาก 0.5 กก. กับน้ำสะอาดในปริมาณที่ให้ท่วมปูนอีก 4 เท่า คนให้ละลาย ตั้งทิ้งไว้ให้ใส ตักส่วนที่ใสไว้ใช้ นำแป้งสาลีมาร่อนด้วยตะแกรง 1 ครั้งก่อนนำไปผสมกับผงแคลเซียม คนให้เข้ากัน ไม่ต้องร่อน เพราะผงแคลเซียมจะติดตะแกรงง่าย นำน้ำตาลไปต้มกับน้ำ เคี่ยวเป็นน้ำเชื่อมให้ได้ 500 มล.

จากนั้นผสมแป้งกับกะทิ นมถั่วเหลือง น้ำเชื่อม น้ำปูนใส ใช้ที่ตีไข่กวนผสมให้เนียนเข้าเป็นเนื้อเดียวกัน และตามด้วยไข่ไก่ ตอกรวมตีให้แตกก่อนนำไปใส่รวมในส่วนผสม ใส่ไข่ลงในส่วนผสม แล้วคนให้ส่วนผสมเข้ากันจนเนียนเป็นเนื้อเดียวกัน ตามด้วยการใส่เกลือป่น งาคั่ว ลงไปในส่วนผสม

สำหรับการเตรียมรส ไม่ว่าจะเป็นเผือก ฟักทอง กล้วยหอม แต่ละรสก็ผสมกับส่วนผสมแป้ง 1 ใน 4 ส่วน กวนผสมแป้งกับรสต่าง ๆ ให้เนียนจนเข้าเป็นเนื้อเดียวกัน

หรือถ้าจะทำเป็น รสผักหวาน ก็ล้างผักให้สะอาด หั่นฝอย นำไปอบไฟอ่อนประมาณ 45 นาที ให้น้ำหนักเหลือ 1 ใน 3 หรือจะทำเป็น รสใบมะรุม อันนี้ไม่ต้องหั่นฝอย รูดใบแล้วนำไปอบได้ ซึ่งการอบช่วยให้ใบผักแห้งสนิท นำไปใช้โรยหน้าทองพับขณะปิ้ง

ขั้นตอน การปิ้งทองพับ เริ่มที่เปิดเครื่องพิมพ์ทองพับไฟฟ้า ตั้งอุณหภูมิที่ 80 องศาเซลเซียส รอให้เครื่องร้อนก่อนใช้ โดยหมั่นคนส่วนผสมให้เข้ากันทุกครั้งก่อนที่จะตักแป้งหยอดใส่พิมพ์ เพื่อให้ได้ส่วนผสมสม่ำเสมอทุกแผ่น เพราะแป้งจะตกตะกอนนอนก้น ใช้น้ำมันพืชทาพิมพ์เล็กน้อย จากนั้นจึงค่อยตักแป้งหยอดลงบริเวณกลาง ๆ พิมพ์ ปิดพิมพ์เบา ๆ เพื่อไล่แป้งให้กระจายสม่ำเสมอทั่วพิมพ์ก่อน จึงค่อยออกแรงกดพิมพ์ให้แน่น จะได้แผ่นทองพับที่บาง ปิ้งไฟไว้จนแป้งขนมสุกและมีกลิ่นหอม จึงใช้เกรียงแซะขนมออกจากพิมพ์

การ ปิ้งขนมให้กรอบอร่อยให้สังเกตสีขนม ควรมีสีเหลืองออกน้ำตาลอ่อนเล็กน้อย เมื่อขนมสุกแล้ว ผึ่งไว้ให้เย็นก่อนบรรจุถุงพลาสติกใส ปิดปากถุงด้วยเครื่องรีด เก็บในปี๊บขนม จะเก็บได้นานประมาณ 1 เดือน

สำหรับ สูตรที่ระบุมาข้างต้น ถ้าทำ 4 รส จะได้ขนมรสละประมาณ 60 แผ่น น้ำหนักแผ่นละประมาณ 6 กรัม จะได้ขนมทั้งหมดประมาณ 240 ชิ้น ใส่ถุงจำหน่ายถุงละ 17 ชิ้น ขายราคาถุงละ 20 บาท ขายหมดจะได้ 280 บาท โดยมีต้นทุนวัตถุดิบประมาณ 70-80 บาท

ผลิตภัณฑ์ “ทองพับเสริมแคลเซียม” เจ้านี้ขายอยู่ที่บ้านเลขที่ 22 หมู่ 3 ต.ดอนแฝก อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม โทร. 0-3423-9898 ส่วนสถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล ยังมีสูตรอาหารว่างสุขภาพอีกหลายชนิด ใครสนใจสอบถามไปที่ อ.อรพินท์ บรรจง โทร. 0-2800-2380 ต่อ 314 (ในวันและเวลาราชการ).

สุภา รัตน์ ยอดศิริวิชัยกุล : รายงาน


ที่มา เดลินิวส์

‘อาหารก๊อปปี้’ สร้างเลียนแบบ ขายดีสุดๆ

ของไม่จริง...แต่ทำเงินได้จริง

ก๊อบปี้-ลอก เลียนแบบ กับหลาย ๆ อย่างผิดกฎหมาย แต่กับบางอย่างก็เป็นช่องทางทำเงินที่ถูกกฎหมาย แถมทำเงินได้น่าทึ่ง อย่างเช่นงาน “โมเดลอาหารจำลอง” ที่เป็น “ช่องทางทำกิน” ที่น่าสนใจ...

“นิธิ นันท์ ธนันศิริเชษฐ์” เจ้าของร้านกิ๊ฟท์เก๋ มีอาชีพรับบริการผลิตโมเดล “อาหารจำลอง” เจ้าตัวเล่าว่า จากการที่ร้านอาหารต่าง ๆ เกิดความต้องการโมเดลอาหารจำลอง เพื่อลดต้นทุนค่าใช้จ่ายในการวางโชว์สินค้าที่เป็นของจริง ๆ ซึ่งระยะแรกจะเป็นการนำเข้าจากต่างประเทศเสียเป็นส่วนใหญ่ แต่เนื่องจากระยะหลังร้านอาหารไทยแท้ ๆ ก็ต้องการใช้ ขณะที่โมเดลนำเข้าส่วนใหญ่จะเป็นอาหารต่างประเทศ จึงคิดกันว่าในบ้านเราก็มีคนทำที่มีฝีมืออยู่ จึงคิดว่าน่าจะสามารถนำมาพัฒนาเป็นธุรกิจได้ จึงตัดสินใจลงมือทำอาชีพนี้

งาน โมเดลอาหารจำลองนี้เริ่มแพร่หลายมาจากประเทศญี่ปุ่น ส่วนในประเทศไทยส่วนใหญ่จะเป็นที่รู้จักจากวงการโฆษณาในรูปแบบของการทำ ม็อคอัพ (Mockup) ซึ่งเริ่มนิยมในระยะไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยระยะแรกยังไม่ค่อยมีกระแสตอบรับมากนัก เนื่องจากร้านค้าและลูกค้ายังมีทัศนคติแง่ลบกับอาหารจำลองอยู่ ต่อมาเมื่อเศรษฐกิจเริ่มไม่ดี ลูกค้าต่างก็พยายามลดต้นทุน ซึ่งอาหารที่วางโชว์หน้าร้านก็ถือเป็นต้นทุน จึงทำให้อาหารจำลองได้รับความนิยม เรียกว่าสวนกระแสสินค้าอื่น ๆ เลยทีเดียว

“หลัง เศรษฐกิจขาลง ลูกค้าก็เพิ่มขึ้น เพราะลูกค้าต้องการตัดค่าใช้จ่ายในการใช้วัตถุดิบจริงหรืออาหารจริงมาโชว์ อีกเรื่องคืออายุการใช้งาน อาหารจริงที่นำมาวางโชว์จะมีระยะเวลาใช้งานไม่นาน ขณะที่อาหารจำลองสามารถเก็บได้ไม่ต่ำกว่า 5 ปี หากลูกค้าไม่เปลี่ยนเมนูไปเสียก่อน”

รูปแบบสินค้า นิธินันท์บอกว่า หลัก ๆ ก็จะแบ่งประเภทเป็น อาหารคาว (แบ่งออกเป็น อาหารไทย อาหารต่างประเทศ) อาหารหวาน และ เครื่องดื่ม นอกจากนี้ก็ยังมีโมเดลจำลองที่เป็นวัตถุดิบของร้านอาหาร อาทิโมเดลรูป ไก่, เป็ด, หมูย่าง, หมูกรอบ, หมูแดง, ผัก และผลไม้ โดยกลุ่มลูกค้ามีทั้งร้านอาหารในประเทศและต่างประเทศ รวมถึงบริษัทโฆษณาที่ต้องการสินค้าจำลองสำหรับใช้ในการถ่ายทำโฆษณา

ช่อง ทางการจำหน่ายโมเดล “อาหารจำลอง” นอกจากเปิดหน้าร้านแล้ว ก็ยังมีการใช้ระบบไอที-อินเทอร์เน็ตเข้ามาช่วยด้วย โดยมีการจัดทำเว็บไซต์ www.giftkaeshopping.com สำหรับติดต่อกับลูกค้า โดยลูกค้าสามารถส่งภาพถ่ายที่ต้องการทำมาให้ทางร้านได้ด้วยวิธีนี้

เมนู อาหารจำลองแต่ละเมนู ใช้ระยะเวลาในการทำราว 10 วัน หรือขึ้นอยู่กับความยากง่าย สำหรับราคาจำหน่ายชิ้นงานสำเร็จรูป และรับสั่งทำโมเดลอาหารจำลอง นิธินันท์บอกว่า เริ่มตั้งแต่ชิ้นละ 7 บาท ไปจนถึงชิ้นละ 10,000 บาท ขึ้นกับขนาด ความยากง่ายของชิ้นงานเป็นสำคัญ

ทุน เบื้องต้นธุรกิจนี้ อยู่ที่ประมาณ 5,000-10,000 บาท ขึ้นอยู่กับกลุ่มลูกค้า-รูปแบบสินค้าที่ทำ โดยถ้าหากต้องการทำชิ้นงานที่มีขนาดใหญ่และมีความละเอียดมาก ก็อาจจำเป็นต้องลงทุนในเรื่องของอุปกรณ์มากหน่อย โดยวัสดุและอุปกรณ์ที่ใช้ ก็เช่น คัตเตอร์, กรรไกร, เรซิ่นเหลว, ดินญี่ปุ่น, พู่กันสำหรับระบายสี หรือเครื่องพ่นแอร์บรัช กรณีทำงานชิ้นใหญ่-งานที่มีความละเอียดมาก

ส่วน ทุนวัตถุดิบจะอยู่ที่ประมาณ 50% ของราคาขาย

“เครื่องมือที่ใช้ทำ อาหารจำลองนี้ ก็เหมือนเครื่องมือที่ใช้ในงานปั้นหรือดอกไม้ประดิษฐ์จากดินญี่ปุ่น ซึ่งถ้าหากใครที่มีทักษะงานดอกไม้ประดิษฐ์จากดินก็สามารถหัดทำได้ไม่ยาก เพราะใช้ทักษะเดียวกัน เพียงแต่อาศัยจินตนาการมากกว่า โดยอาจใช้ภาชนะสำหรับใส่อาหารจริงเพื่อเพิ่มความสมจริงของชิ้นงานได้ด้วย”

ขั้น ตอนการทำ เริ่มจากการขึ้นแบบ อาจใช้วิธีแกะแบบโดยใช้การหล่อจากอาหารหรือวัตถุดิบจริง เพื่อขึ้นรูปเป็น “โมล” หรือ “แบบพิมพ์” หรืออาจใช้วิธีปั้นขึ้นรูปจากดินญี่ปุ่น หรือแกะโฟมขึ้นรูปเพื่อเป็นส่วนประกอบต่าง ๆ ไว้ก่อนล่วงหน้า ก่อนจะประกอบเป็นชิ้นงานอีกที ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับขนาดและความถนัด

เมื่อ ได้แบบพิมพ์แล้ว ก็หล่อ เรซิ่นเพื่อขึ้นรูป ส่วนประกอบสำคัญของเมนูอาหารจำลองนั้น ๆ โดยอาจทำเป็นส่วนประกอบต่าง ๆ ให้เสร็จก่อน จากนั้นจึงค่อย ๆ นำมาบรรจงจัดวาง ซึ่งมีขั้นตอนคล้ายกับการทำอาหารจริงเช่นกัน ทำการลงสีส่วนประกอบต่าง ๆ ตามต้องการ โดยเน้นที่ความสมจริง แล้วทำการเทเรซิ่นเหลวปิดทับเพื่อเชื่อมส่วนประกอบต่าง ๆ ให้ติดกันเป็นเนื้อเดียว เป็นอันเสร็จขั้นตอนการทำ

“งานโมเดลอาหาร จำลองนี้ โอกาสที่ไอเดียจะตันแทบไม่มี เนื่องจากรูปแบบส่วนใหญ่ลูกค้าเป็นคนคิด เรามีหน้าที่ผลิตตามความต้องการของลูกค้า แต่ก็อาจจะให้คำแนะนำลูกค้าบางเรื่อง เกี่ยวกับองค์ประกอบ การให้สี การจัดวาง ซึ่งจุดที่สำคัญสำหรับคนทำอาชีพนี้คือต้องซื่อสัตย์ เพราะหากใช้วัสดุไม่ดี ขี้เหนียววัสดุในการทำก็อาจมีผลต่อหน้าตาสินค้าของลูกค้า” เจ้าของธุรกิจผลิต “อาหารจำลอง” กล่าวแนะนำทิ้งท้าย

สนใจงานของ นิธินันท์ ร้านกิ๊ฟท์เก๋อยู่ที่ เจ.เจ.มอลล์ ชั้น 2 ห้อง s302 โทร. 08-4940-7995 หรือดูในเว็บไซต์ ซึ่งนี่ก็เป็นอีกอาชีพของคนช่างคิดช่างทำ ก๊อบปี้จากของจริงที่ถูกกฎหมาย และทำเงินงาม.

ศิริโรจน์ ศิริแพทย์ : รายงาน

'ยาโมโน ซาชิ' ย้อมผ้าแบบญี่ปุ่นสร้างอาชีพ

เก็บตกจากงาน ประชุมวิชาการนานาชาติครั้งที่ 1 ของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร (มทร.พระนคร) เมื่อ 13-16 ก.ค.ที่ผ่านมา นอกจากด้านวิชาการแล้วยังมีการอบรมวิชาชีพต่าง ๆ รวมถึง “เทคนิคย้อมผ้ายาโมโนซาชิ (Yamonoshashi)” ของญี่ปุ่น ที่สามารถจะเป็น “ช่องทางทำกิน” ในไทยได้...

เทคนิคการย้อมผ้า “ยาโมโนซาชิ” เป็นการย้อมผ้าที่ไม่ต้องใช้น้ำ และไม่ต้องใช้ความร้อนจากเตาไฟ โดยใช้สีสำเร็จจากกระดาษคาร์บอน และใช้ความร้อนจากเตารีด โดยที่สีนั้นจะทนทาน ไม่หลุด ซึ่งเจ้าหน้าที่จากวอยซ์ ฮอบบี้ คลับ แจกแจงว่า คนญี่ปุ่นจะให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมมาก ไม่อยากให้มีน้ำเสีย จึงใช้เทคนิคย้อมผ้าแบบนี้ และเทคนิคนี้ยังประหยัดเวลาและพลังงาน

เทคนิค นี้เริ่มต้นที่การเตรียมผ้า ซึ่งย้ำว่าจะต้องเป็น ผ้าโพลีเอสเตอร์ 100% ซึ่งจะดูดซับสีได้ดีที่สุด หรืออาจจะเป็นผ้าโพลีเอสเตอร์ปนกับผ้าฝ้าย (คอตตอน) ก็ได้ แต่จะต้องเป็นสัดส่วนผ้าโพลีเอสเตอร์อย่างน้อย 70% หากมีสัดส่วนของเนื้อผ้าฝ้ายมากสีที่ย้อมออกมาอาจจะหม่น โดยราคาของผ้าโพลีเอสเตอร์นั้นที่ญี่ปุ่นจะค่อนข้างแพงมาก แต่ถ้าเป็นโพลีเอสเตอร์ในไทยราคาอย่างต่ำเมตรละ 30 บาท ซึ่งก็เป็นราคาที่ไม่แพงนัก

สำหรับ กระดาษย้อมผ้า มี 2 ขนาดคือ ขนาดกระดาษ A5 และขนาด B4 ซึ่งมี 2 แบบ คือ สีพื้น ซึ่ง 1 ชุดจะมี 5 สี 5 แผ่น ต้นทุนส่วนนี้อยู่ที่ 285 บาท และนอกจากนี้ ยังมีกระดาษย้อมผ้าแบบที่เป็นลวดลาย

อุปกรณ์ชิ้นต่อมาคือ ตัวเจาะกระดาษ ให้เป็นลายต่าง ๆ อาทิ ดาว ดอกไม้ ปลา หัวใจ ฯลฯ ซึ่งราคาตัวเจาะนี้อยู่ที่ชิ้นละ 100 กว่าบาท หรืออาจจะวาดเองก็ได้ วาดใส่กระดาษย้อมผ้าแล้วนำมาตัด หรืออีกเทคนิคคือ การใช้ใบไม้ อาทิ ใบเมเปิลสด นำมารีดให้แห้ง ให้ละอองน้ำออกไป แล้วนำมาใช้ในลักษณะเป็นตัวกั้นสี

นอกจากนี้ ยังมีลายที่เป็นที่นิยมคือการฉีกกระดาษเอง เป็นรูปดอกไม้ลักษณะ 5 แฉก หรือเป็นรูปดอกไม้แบบกลม ๆ ก็ได้ ถ้าเป็นลายการ์ตูนก็ยากขึ้นหน่อย ซึ่งตรงนี้ขึ้นอยู่กับความสามารถของแต่ละคน

วิธีทำนั้น เมื่อเตรียมผ้าแล้ว เช่นจะทำเป็นผ้าเช็ดหน้า ใช้ผ้าโพลีเอสเตอร์ขนาด 30 x 30 เซนติเมตร รีดผ้าให้เรียบก่อน ซึ่งจะต้องรองรีดหลายชั้นหน่อย ตั้งแต่ไม้กระดาน ผ้ารองรีด (ผ้าสักหลาดสีแดง) และหนังสือพิมพ์ ซึ่งหนังสือพิมพ์ต้องใช้แบบที่หมึกพิมพ์ไม่เลอะเทอะ หรืออาจจะใช้กระดาษอื่นแทนก็ได้

เมื่อรีดผ้าเสร็จแล้วก็วางผ้าลง จัดเรียงลวดลายจากกระดาษย้อมผ้าบนผืนผ้าให้เรียบร้อย ซึ่งการออกแบบลวดลายนั้นก็สุดแท้แต่ความต้องการหรือจินตนาการของแต่ละคน แต่จะต้องวางด้านที่มีสีลงบนผ้า จากนั้นวางกระดาษหนังสือพิมพ์หรือกระดาษขาวธรรมดาลงบนลวดลายอีกชั้น เมื่อเตารีดร้อนแล้วก็รีดทับลงไป ซึ่งระยะเวลาที่รีดนั้นจะใช้ประมาณ 40 วินาทีก็เสร็จเรียบร้อย แต่ถ้าต้องการให้สีติดมากกว่านี้ อาจจะเพิ่มเวลาลงไปอีกเล็กน้อยก็ได้ โดยสำหรับกระดาษย้อมผ้าดังกล่าวนี้จะใช้ได้อย่างน้อย 2 ครั้ง และอย่างมาก 4 ครั้ง

นอกจากนี้ยังมีเทคนิคการใช้สีแบบเดียวกัน แต่เป็นในลักษณะสีหลอด ผสมกับน้ำแล้ววาดด้วยพู่กัน เขียนภาพหรือตัวอักษรลงบนกระดาษเขียนพู่กันจีน จากนั้นนำไปรีดบนผ้า ก็จะได้ลายตามที่ต้องการ

เพิ่มเติมเทคนิคใบไม้ที่กล่าวไว้ข้างต้น ใบไม้สำหรับกั้นสีนั้นหมายความว่าเราจะต้องวางใบไม้ลงบนผ้าเสียก่อน จากนั้นวางกระดาษย้อมผ้าลงไป ทับด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์อีกชั้น เมื่อรีดออกมาแล้วก็จะได้ลายของใบไม้ โดยพื้นที่รูปใบไม้จะเป็นสีขาวเพราะไม่โดนสี จากนั้นพลิกใบไม้อีกด้านหนึ่งลงบนพื้นสีขาวตรงนั้น วางกระดาษทับอีก แล้วรีดลงไป ก็จะได้สีของเส้นใยใบไม้บนผืนผ้า

เทคนิคการย้อมผ้าแบบ นี้หากฝึกทำจนเชี่ยวชาญแล้ว สามารถจะทำเป็นอาชีพได้ สามารถใช้กระดาษย้อมผ้านี้ได้กับรูปแบบของผ้าหลาย ๆ ประเภท อาทิ เสื้อ ผ้าเช็ดหน้า กระเป๋า ผ้ากันเปื้อน ฯลฯ ซึ่งราคาขายชิ้นงานนั้นก็ตั้งตามความเหมาะสม ซึ่งนี่เป็นงานฝีมือ ราคาจะค่อนข้างดี อีกทั้งทุนวัสดุอุปกรณ์ก็ไม่สูงมาก

ใครสนใจ “เทคนิคย้อมผ้ายาโมโนซาชิ” ต้องการติดต่อได้ที่สถาบันวอยซ์ ฮอบบี้ คลับ ติดต่อได้ที่ เลขที่ 165 ชั้น 3 ซอยสุขุมวิท 49 (กลาง) ถนนสุขุมวิท กรุงเทพฯ โทร.0-2714-7251 (ติดต่อคุณไก่)

สุภารัตน์ ยอดศิริวิชัยกุล :รายงาน

คู่มือลงทุน...ย้อมผ้ายาโมโนซาชิ


ทุนอุปกรณ์ ไม่เกิน 1,000 บาท (ตามราคาเตารีด)
ทุนวัสดุ ประมาณ 285 บาท / กระดาษ 1 ชุด
รายได้ ขึ้นอยู่กับการตั้งราคาขายชิ้นงาน
แรงงาน 1 คน
ตลาด ย่านช็อปปิ้ง, รับทำตามออเดอร์
จุดน่าสนใจ เทคนิคแบบญี่ปุ่นใช้เป็นจุดขายได้

เครดิตจาก เดลินิวส์

‘กระเป๋าหนัง’

แฮนด์เมดทำ เงินได้ทุกยุค

อาชีพทำ “กระเป๋าหนัง” ที่เป็นงาน “แฮนด์เมด” ไม่จำเป็นต้องมีโรงงานใหญ่โต ลงทุนไม่มากก็ทำอาชีพนี้ได้ ขอเพียงมีความรู้ความชำนาญในการทำ ยิ่งถ้าออกแบบดีไซน์ตามกระแสแฟชั่นได้อยู่ตลอด สินค้าประเภทนี้ก็จะเป็น “ช่องทางทำกิน” ให้กับผู้ที่ทำได้เป็นอย่างดี อาชีพนี้จึงเป็นอีกอาชีพหนึ่งที่น่าสนใจ

อิทธิเดช ตันบูล มีประสบการณ์เย็บกระเป๋าหนังมากว่า 10 ปี ปัจจุบันจำหน่ายด้วยแบรนด์ NC โดยเขาเริ่มจากการที่ไม่มีความรู้เรื่องการทำเครื่องหนังเลย แต่ก็เรียนรู้จนสามารถทำกิจการของตัวเองได้ ซึ่งเจ้าตัวเล่าว่า เป็นคนต่างจังหวัด หลังเรียนจบ ม.6 ก็เดินทางเข้ามาทำงานในกรุงเทพฯ โดยเป็นลูกจ้างในร้านเครื่องหนัง และเริ่มเรียนรู้เก็บเกี่ยวประสบการณ์การทำเครื่องหนังมาเรื่อย จนสามารถทำเป็นทุกขั้นตอน ทำได้ทุกอย่าง

เป็นลูกจ้างอยู่ประมาณ 10 กว่าปี อิทธิเดชก็เริ่มมีความคิดที่จะมีร้านเป็นของตัวเอง จึงตัดสินใจออกมาสร้างธุรกิจเย็บกระเป๋าหนัง เริ่มจากเปิดร้าน เล็ก ๆ ซึ่งด้วยความที่งานของเขามีดีไซน์สวยงาม เป็นงานที่เน้นความประณีตทุกชิ้น ทำให้มีลูกค้าให้ความสนใจในสินค้าของเขามากขึ้นเรื่อย ๆ จนเป็นที่รู้จักในวงกว้าง

“งานเย็บกระเป๋าหนังที่ทำอยู่นั้น เป็นงานที่ต้องเน้นงานดีไซน์ตามแฟชั่น เน้นความประณีตในการทำ และสร้างจุดเด่นของสินค้าไม่ให้ซ้ำใคร และจะมีการเปลี่ยนรูปแบบใหม่ทุก 3 เดือน ที่สำคัญเราเลือกใช้หนังวัวเกรดเอ เพื่อความสวยงามและทนทานแข็งแรงในการใช้งาน สินค้าของเราจึงได้รับความนิยม”

รูป แบบดีไซน์ ที่จะต้องอัพเดทตามแฟชั่นเรื่อย ๆ นั้น อิทธิเดชมักจะดูแบบกระเป๋าแฟชั่นจากนิตยสารและอินเทอร์เน็ต เพื่อตามแนวแฟชั่นให้ทันตลอด ดูแล้วก็นำมาประยุกต์ทำให้เป็นสไตล์ของตัวเอง

วัตถุ ดิบอย่างหนังวัว อิทธิเดชแนะนำว่า ควรเลือกใช้หนังวัวแท้ เป็นหนังประเภทหนังออยล์และชามัวส์ เพราะถือว่าเป็นหนังที่มีคุณภาพดี และการเลือกนั้นจะต้องเลือกใช้หนังที่หนาแบบบาง และแบบหนาปานกลาง ไม่ควรใช้แผ่นหนังที่หนามากไปเพราะเวลาทำเป็นกระเป๋าออกมาจะทำให้กระเป๋า นั้นหนักเกินไป ส่วนในเรื่องของแหล่งที่ซื้อหนังนั้นเขาจะไปซื้อที่โรงงานฟอกหนัง ที่ จ.สมุทรปราการ

สำหรับอุปกรณ์ที่ต้องมีในการทำกระเป๋าหนังนั้น หลัก ๆ มีดังนี้คือ... ค้อน, เข็มเย็บหนัง, ด้ายเทียน, เครื่องเจาะนำร่องก่อนเย็บขนาดต่าง ๆ, กรรไกร เป็นต้น

ขั้นตอนการทำ กระเป๋าหนัง เริ่มจากการออกแบบรูปทรงกระเป๋าตามที่ต้องการ จากนั้นก็วาดเป็นแพทเทิร์นลงกระดาษ แล้วก็ตัดแพทเทิร์นเป็นชิ้น ๆ ออกมา ขั้นต่อไปก็นำแพทเทิร์นไปวางทาบบนแผ่นหนัง ใช้กาวทา แล้วทำการตัดหนังออกมาเป็นชิ้น ๆ ตามแพทเทิร์น

แพทเทิร์น 1 ชิ้นจะทาบแผ่นหนังแล้วตัดออกมา 2 ชิ้น คือแผ่นหนังที่หนาปานกลาง กับแผ่นหนังแบบบาง นำทั้งสองแผ่นมาทำการประกบติดกัน ทายึดด้วยกาวยาง จากนั้นก็ใช้ด้ายเย็บให้เรียบร้อย ซึ่งสาเหตุที่ต้องใช้หนัง 2 แผ่นเย็บติดกันก็เพื่อความสวยงามของชิ้นงาน

เมื่อได้แพทเทิร์นทุก ชิ้นแล้ว ก็นำมาประกอบเข้าด้วยกัน จากนั้นก็ทำการเย็บ โดยเริ่มเย็บจากด้านข้างกระเป๋าก่อน เมื่อทำการเย็บจนเสร็จเรียบร้อยเป็นรูปร่างกระเป๋าแล้ว จากนั้นก็นำหูกระเป๋ามาเย็บติดเข้าไป แล้วก็ทำการตกแต่งเก็บรายละเอียดในส่วนของภายนอกตามแบบที่ต้องการ และขั้นตอนสุดท้ายก็เป็นการใช้สีที่ใช้ทาขอบหนังโดยเฉพาะ ทาขอบกระเป๋าให้เรียบร้อย

อิทธิเดชบอกว่า การเย็บนั้นจะต้องใช้ตัวเจาะนำร่องตอกก่อน เพื่อให้ง่ายต่อการเย็บ ที่สำคัญระยะห่างระหว่างรูเย็บนั้นจะต้องเท่ากัน ทำให้งานประณีตสวยงาม ส่วนรูปแบบการเย็บจะใช้เทคนิคการเย็บแบบด้น

ราคากระเป๋าหนังของอิทธิ เดชมีตั้งแต่ 1,000-4,500 บาท ขึ้นอยู่กับรูปแบบและความยากง่ายในการทำ โดยต้นทุนจะประมาณ 60-70% ของราคาที่ตั้งขาย ซึ่งปัจจุบันเขามีแบบกระเป๋าให้เลือกกว่าร้อยแบบ นอกจากนั้น ยังมีสินค้าเครื่องหนังอื่น ๆ เช่น กระเป๋าสตางค์ เข็มขัด พวงกุญแจ ซองใส่โทรศัพท์มือถือ

สนใจกระเป๋าหนังดีไซน์ของอิทธิเดช สามารถแวะไปดูได้ที่เลขที่ 66 ถนนพระอาทิตย์ แขวงชนะสงคราม เขตพระนคร กรุงเทพฯ และที่ตลาดนัดจตุจักร โครงการ 7 ซอย 4 เบอร์โทรศัพท์คือ 08-9885-3381, 08-9207-1207 ซึ่งสำหรับคนมีไอเดียดี ๆ บางทีการฝึกทำ “กระเป๋าหนัง” อาจจะเป็นอาชีพที่ใช่เลยก็ได้.

บดินทร์ ศักดาเยี่ยงยงค์ : รายงาน/จเร รัตนราตรี
เครดิตจาก เดลินิวส์

‘งานไม้ เพนท์สี’

ฝีมือดี-แบบ เด่น...ยังฉลุย !!

งานฝีมือจากวัสดุประเภทไม้ แม้ไม่ใช่งานใหม่ แต่ก็ใช่ว่าตลาดจะถึงทางตัน จุดสำคัญอยู่ที่การรู้จักหาตลาด เน้นคุณภาพ อย่างเช่น “งานไม้เพนท์สี” สารพัดไอเดีย ที่เป็นอีกตัวอย่าง “ช่องทางทำกิน” รายนี้...

“วีรพงษ์ ชาติทอง” เจ้าของงานเล่าว่า เริ่มทำอาชีพประดิษฐ์งานไม้เพนท์สีนี้มาตั้งแต่สมัยเรียน ตั้งแต่ปี 2544 รับจ้างทำพวงกุญแจ งานไม้ชิ้นเล็ก ๆ ต่อมาเริ่มผลิตงานที่ใหญ่ขึ้น ประเภทของตกแต่งบ้าน ของขวัญ ของชำร่วย ส่วนใหญ่ลูกค้ามาสั่งทำสำหรับนำไปแจก ที่เรียกว่าของพรี เมี่ยม พอเก็บเงินได้ก้อนหนึ่งจึงคิดเปิดร้านรับทำและผลิตสินค้ายี่ห้อของตนเองเป็น เรื่องเป็นราว ใช้ชื่อว่า วู๊ดดี้คร้าฟ ผลิตสินค้าประเภทที่ใส่กระดาษชำระ ที่แขวนผ้าเช็ดมือและผ้าเช็ดตัว กล่องใส่ของ รวมถึงป้ายชื่อ ป้ายแขวน และกระดานดำ เป็นต้น ซึ่งสินค้าจะมีเอกลักษณ์ที่ตัวการ์ตูนรูปสัตว์ต่าง ๆ รวมถึงมีจุดเด่นเรื่องของความคงทน และสีสันที่ใช้ในงาน

“ระยะแรกก็มี ปัญหาเรื่องของตลาด เพราะเรียนมาแต่ทางด้านศิลปะ จึงตัดสินใจเข้าร่วมกับทางโอทอป ข้อดีคือนอกจากเราจะได้เปิดตัวสินค้าตามงานแสดงสินค้าต่าง ๆ ก็ยังมีโอกาสได้เข้าอบรมเรื่องการบริหารงานอีกด้วย ตรงนี้ถือว่าสำคัญ เพราะถือเป็นปัญหาใหญ่ของคนทำงานประดิษฐ์” เจ้าของงานกล่าว

สินค้า ที่ผลิตขึ้นเป็นงานทำมือแทบทุกชิ้น การลงสีบนชิ้นงานก็ใช้แรงงานคนเป็นสำคัญ ทำให้สินค้าแต่ละชิ้นแทบไม่ซ้ำกัน เรื่องของคุณภาพและความคงทนก็จะเน้นเป็นพิเศษ แม้ขณะนี้จะถูกสินค้าจากประเทศจีนเข้ามาตีตลาดบ้าง แต่ก็ยังถือว่าไม่กระทบ เพราะลูกค้าเปรียบเทียบแล้วจะเข้าใจว่าทำไมราคาถึงแพงกว่าของจีน

งาน ไม้เพนท์สีปัจจุบันมีแบบมากมาย เพราะต่อยอดไอเดียออกไปได้เรื่อย ๆ เรียกว่าไม่มีทางตัน แต่ส่วนใหญ่ที่ขายดีจะเป็นงานตุ๊กตารูปสัตว์ อาทิ ไก่ ช้าง หมี ราคาขายเริ่มตั้งแต่ชิ้นละ 15 บาทจนถึง 300 บาท ขึ้นกับขนาดและรายละเอียดของชิ้นงาน โดยลูกค้าส่วนใหญ่มีทั้งกลุ่มของตกแต่งบ้าน ของขวัญ ของที่ระลึก ไปจนถึงกลุ่มลูกค้าประเภทบริษัท เรียกว่ามีงานให้ทำตลอดทั้งปี แต่จะขายดีมากขึ้นในช่วงเทศกาลต่าง ๆ

ทุนเบื้องต้น วีรพงษ์บอกว่า ตอนแรกใช้ไปประมาณ 50,000 บาท เป็นค่าเครื่องมือ อาทิ เลื่อยไฟฟ้าหรือเครื่องตัดไม้, ปืนยิงกาวซิลิโคน, แปรงลูกกลิ้ง, พู่กัน, เครื่องมือช่างไม้ เช่น ค้อน, ตะปู, สิ่ว เป็นต้น ที่เหลือคือไม้เอ็มดีเอฟ หรือที่รู้จักกันดีในชื่อไม้อัด (ไม้ผสมกระดาษ) ข้อดีของไม้ประเภทนี้คือ น้ำหนักเบา ไม่มีเส้นในเนื้อไม้ และสีอะคริลิก, สีน้ำ, สีโปสเตอร์, โดยแหล่งซื้อวัตถุดิบหลัก ๆ คือแถวย่านบางโพ จะมีครบหมด

ขั้นตอนการ ทำ จะมีรายละเอียดแตกต่างกันในแต่ละชิ้นงาน แต่ขั้นตอนหลัก ๆ คือเริ่มจากร่างแบบ วาดแบบชิ้นงานที่ต้องการลงบนกระดาษ หรือที่เรียกว่าการสเกตช์ภาพ เพื่อใช้แบบร่างนั้นเป็นแพตเทิร์นสำหรับตัดไม้ให้เป็นส่วนประกอบต่าง ๆ จากนั้นนำแบบที่ร่างไว้มาทำการทาบลงบนไม้เอ็มดีเอฟที่เตรียมไว้ ใช้เลื่อยหรือเครื่องตัดขึ้นรูปตามแบบ เมื่อได้แล้วให้นำมาทาสีพื้นด้วยสีอะคริลิก หรือสีน้ำ ด้วยแปรงลูกกลิ้ง เหตุที่เลือกใช้แปรงลูกกลิ้งเพราะเมื่อทาไปบนไม้จะเกิดพื้นผิวไม่เรียบเป็น ลอน ช่วยสร้างรายละเอียดและมิติให้ชิ้นงานน่าสนใจขึ้น สำหรับการลงสีพื้นนี้ ต้องพยายามดูภาพรวมของสีที่จะใช้ โดยพยายามคุมโทนให้อยู่ในกลุ่มเดียวกัน

เมื่อ ลงสีพื้นเสร็จ ต่อไปเป็นขั้นตอนของการลงเส้น หรือเติมจุดเด่นลงบนชิ้นงาน อาทิ หมวก ลูกตา ปาก โดยใช้สีโปสเตอร์ เพราะจะได้สีที่เด่นชัด จากนั้นนำชิ้นส่วนต่าง ๆ ที่ลงสีเรียบร้อยมาผึ่งลมทิ้งไว้ให้แห้ง เมื่อแห้งสนิทก็นำส่วนต่าง ๆ มาประกอบเข้าด้วยกันด้วยปืนกาวซิลิโคน ทิ้งไว้ให้แห้ง นำมายึดติดถาวรด้วยนอตหรือตะปู จากนั้นทำการพ่นเคลือบแลกเกอร์ ก็เป็นอันเสร็จขั้นตอนการทำ “งานไม้เพนท์สี”

“วันนี้ ตลาดงานไม้ถือว่ายังมีโอกาสโตได้อีกมาก แม้จะเกิดปัญหาการก๊อปปี้สินค้า หรือการถูกของจากจีนเข้ามาตีตลาด แต่ตลาดตรงนี้ก็ยังไปได้ สำคัญคือคนทำต้องเข้าใจกลุ่มเป้าหมาย งานที่ผลิตต้องมีคุณภาพ และต้องพัฒนาแบบสินค้าใหม่ ๆ ตลอดเวลา ห้ามหยุดนิ่ง เพราะตลาดงานไม้ เน้นแข่งขันกันที่แบบและคุณภาพของชิ้นงานเป็นสำคัญ” เจ้าของงานไม้เพนท์สีรายนี้ระบุ ซึ่งใครสนใจอาชีพด้านนี้อยู่ก็ลองพิจารณากันดู

ส่วนใครสนใจติดต่อกับ วีรพงษ์ ก็ติดต่อได้ที่เลขที่ 62/13-14 หมู่ 8 ถนนกรุงเทพ-นนท์ ต.บางเขน อ.เมือง จ.นนทบุรี โทร. 0-2526-5217 e-mail: woodycrabts@hotmail.com

ศิริ โรจน์ ศิริแพทย์ : รายงาน/จเร รัตนราตรี : ภาพ เครดิตจาก เดลินิวส์

'ซีฟู้ดกระทะ' จุดขายของร้าน 'บุฟเฟ่ต์'

ร้าน “บุฟเฟ่ต์หมูกระทะ” กลับมาเป็นธุรกิจร้านอาหารที่เฟื่องฟูอีกในระยะนี้ ซึ่งก็มีทั้งร้านเล็ก-ร้านใหญ่ผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด การแข่งขันจึงสูง แต่ละร้านจึงต้องพยายามสร้างจุดขาย และกับการเพิ่มวัตถุดิบจำพวก “ซีฟู้ด” ปิ้งย่างกันหอม ๆ อย่างร้านที่ “ช่องทางทำกิน” จะนำเสนอวันนี้ ก็ดึงดูดลูกค้าได้ดี....

ศุภกิตติ ก้องเกียงไกร หรือ “กิต” วัย 27 ปี ผู้จัดการ ร้านหมูกระทะนานา เล่าว่า ธุรกิจหมูกระทะเป็นกิจการครอบครัว เปิดมาประมาณ 4 ปี ตอนนี้มี 5 สาขา บางซ่อน หนองแขม หมอชิต บางรัก รังสิต โดยญาติพี่น้องช่วยกันดูแลแต่ละสาขา ซึ่งก็มีลูกค้าอุดหนุนไม่ขาดสาย โดยเฉพาะช่วงเย็นและค่ำวันเสาร์-อาทิตย์

“บุฟเฟ่ต์ที่ร้านคิดหัวละ 109 บาท แต่ถ้ามาก่อน 5 โมงเย็นหัวละแค่ 99 บาท ลูกค้าส่วนมากชอบตักกุ้งเป็น ๆ ซึ่งมีพนักงานคอยย่างให้ด้วย นี่ก็เป็นจุดขายหนึ่งของเรา ซึ่งแม้พวกซีฟู้ดทุนจะสูง อย่างกุ้งก็จะใช้กุ้งแม่น้ำสด ๆ เป็น ๆ แต่รวม ๆ และทางร้านก็พออยู่ได้จากกำไรประมาณ 20-30% และกำไรเครื่องดื่ม”

กิต บอกว่า ธุรกิจนี้ต้องสร้างจุดเด่นดึงดูดลูกค้าเพื่อให้แข่งขันได้ ของที่ใช้ต้องมีคุณภาพ หลากหลาย จะมีทั้งหมูหมักซอส หมูเด้ง หมูสไลส์ หมูทรงเครื่อง เครื่องในหมู เช่น ตับ เซี่ยงจี๊ ไส้อ่อน มีเนื้อหมักงา เนื้อหมักพริกไทยดำ เนื้อสด ลูกชิ้นหมู ลูกชิ้นเนื้อ เบคอน แฮม บาโลน่า ไก่สด ไก่หมัก ไก่เครื่องเทศเกาหลี ฯลฯ

ส่วนพวกซีฟู้ดก็จะมีทั้งกุ้ง เป็น ๆ ที่มีพนักงานย่างให้ มีหอยต่าง ๆ ปลาหมึกสด ปลาหมึกหลอด ปลาหมึกกรอบ แมงกะพรุน ปลาสวรรค์ ปลาแซลมอน ปลาโลนัน ลูกชิ้นปลา ลูกชิ้นทะเล ปูอัด เต้าหู้ปลา ฯลฯ

โซนผักของที่ร้านก็จะมีกลุ่มที่มีราคาสูง อย่างบร็อกโครี่ ตลอดจนเห็ดฟาง เห็ดนางฟ้า เห็ดหูหนู ผักกาดขาว กะหล่ำปลี ผักบุ้ง โหระพา ข้าวโพดอ่อน ขึ้นฉ่าย ต้นหอม แครอท ฯลฯ และรวมถึงวุ้นเส้น

จุด เด่นนั้นนอกจากจะมีวัตถุดิบหลากหลาย แบ่งเป็นโซน รวมแล้ว 80 กว่าอย่าง ยังออกอาหารไม่อั้น จะทยอยออกมาเรื่อย ๆ และจะไม่ทำแล้วเก็บไว้ จะเน้นของสดและใหม่ ไม่มีทิ้งค้างไว้จนเย็นไม่มีรสชาติ ซึ่งลูกค้าขาประจำจะรู้ว่าอาหารจะทยอยออกมาเรื่อย ๆ จะไม่ตักตุนออกไปเยอะ เพราะทุกอย่างจะมีเติมให้ตลอด

สำหรับโซนของกินเล่นก็จะมีหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นกุ้งอบวุ้นเส้น ปอเปี๊ยะทอด ทอดมันปลากราย ทอดมันกุ้ง ปีกไก่ทอดน้ำปลา ไก่ทอด เอ็นไก่ทอด ขนมปังหน้าหมู หมูทอด หมูแดดเดียว ไส้กรอกไก่-หมูทอด ปลาหมึกวงชุบแป้งทอด ขนมจีบ แหนมปลาทอด ก๋วยเตี๋ยวลุยสวน หมูยอทอด เฟรนช์ฟรายด์

นอกจากนี้ก็ยังมียำต่าง ๆ ที่ในแต่ละวันจะสลับหมุนเวียนกันไปไม่ซ้ำซาก เช่น ยำวุ้นเส้น ยำรวมมิตร ยำเล็บมือนาง ยำไส้กรอก ยำลูกชิ้น ยำสามรส ยำหมูยอ ยำมาม่า ยำหอย ยำปลาหมึก บะหมี่หยก-เหลือง

ถ้าใครชื่นชอบอาหารญี่ปุ่น ที่ร้านนี้ก็เอาใจด้วยการมีโซนอาหารญี่ปุ่นบริการ เป็นประเภทข้าวปั้น เกี๊ยวซ่า กิมจิ และรวมถึงยังมีเมนูข้าวผัด ซึ่งก็มีทั้งข้าวผัดกุ้ง-หมู-ไก่-แฮม-แหนม ส่วนโซนของหวาน ก็มีทั้งแบบแห้งและน้ำ หรือหากลูกค้าชอบผลไม้ที่นี่ก็ไม่ขาด มีผมไม้ตามฤดูกาลเรียงรายให้หยิบได้ตามใจชอบ

อีกโซนเด็ดของร้านที่ ขาดไม่ได้คือ โซนน้ำจิ้มรสเด็ดที่ตั้งแยกไว้เฉพาะ มีทั้งน้ำจิ้มซีฟู้ดรสเข้มข้นจัดจ้าน น้ำจิ้มสุกี้ ใช้ซอสพริกไทยเป็นหลักปั่นกับส่วนผสมสูตรเฉพาะ ใส่น้ำมันงาและงาขาวให้ได้รสกลมกล่อม มีทั้งแบบของเด็กและผู้ใหญ่ และรวมถึงมีน้ำจิ้มแจ่วด้วย

กิตบอกว่า การทำธุรกิจนี้ปัญหาและอุปสรรคก็มีเกือบทุกวัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของลูกค้า และลูกจ้าง พ่อครัวแม่ครัว ซึ่งการบริหารลูกน้องค่อนข้างเป็นเรื่องใหญ่ที่ต้องดูแลให้ดี และก็ยังมีปัญหาอะไรอีกหลาย ๆ เรื่องที่ต้องแก้กันไปตามสถานการณ์
“ของ ที่ให้กับลูกค้าต้องมีคุณภาพ และอย่าลืมเน้นเรื่องความสะอาด เพราะลูกค้าส่วนใหญ่จะมองเรื่องความสะอาด กลัวว่าทานแล้วจะท้องเสียไหม อีกอย่างคือจะต้องเน้นทำเล ซึ่งก็จะต้องเน้นมาก และการที่ครอบครัวทำธุรกิจนี้มาถึงจุดนี้ได้ ที่สำคัญคือต้องใช้สมองและทำการตลาดให้ดี” กิตติแนะนำทิ้งท้าย

ร้าน หมูกระทะนานาที่มี “ซีฟู้ด” เป็นอีกจุดขายสำคัญ ร้านที่กิตดูแลอยู่นั้นอยู่แถวรังสิต อยู่ตรงข้ามกับโรงพยาบาลนวนคร เปิดร้านตั้งแต่บ่าย 3 – 5 โมงเย็นทุกวัน เบอร์ โทร.ของกิตคือ โทร.08-5444-9940

เชาวลี ชุมขำ :รายงาน / จเร รัตนราตรี :ภาพ

คู่ มือลงทุน...ซีฟู้ดกระทะ
ทุนอุปกรณ์ ขึ้นอยู่กับขนาดของร้าน
ทุนวัตถุ ดิบ ประมาณ 70-80% ของราคา
รายได้ ราคาหัวละ 99 และ 109 บาท
แรงงาน ขึ้นอยู่กับขนาดของร้าน
ตลาด ทำเลร้านริมถนน-ย่านชุมชน
จุดน่าสนใจ ซีฟู้ดดึงดูดลูกค้าบุฟเฟ่ต์ได้ดี

เครดิต จาก เดลินิวส์

'ปาท๋องโก๋เกลียว' สูตรปักษ์ใต้ขายคู่ 'สังขยา'

“ปาท่องโก๋” ปัจจุบันมีขายไม่เฉพาะช่วงเช้าเท่านั้น แต่มีการทำขายให้ลูกค้าซื้อทานได้ทุกเวลา เช้า สาย บ่าย เย็น หรือแม้กระทั่งดึกดื่นมืดค่ำ และวันนี้ทีม “ช่องทางทำกิน” ก็จะเสนอข้อมูลอาชีพขาย “ปาท่องโก๋เกลียวปักษ์ใต้” ที่ทานกับ “สังขยา” ซึ่งก็ขายได้ทุกช่วงเวลา และขายที่ไหนก็ได้ไม่เฉพาะปักษ์ใต้

อ้อย อัจฉรา แซ่ตั้ง หรือ คุณแอน และ บงกช พาระสิงห์ หรือ คุณกอล์ฟ เป็นเจ้าของร้าน “นายกอล์ฟปาท่องโก๋เกลียวปักษ์ใต้” ขายมาประมาณ 3-4 ปีมาแล้ว โดยเริ่มจากทำกันเล็ก ๆ แล้วขยับขยายขึ้นเรื่อย ๆ โดยสูตรนั้นเป็นของครอบครัวของคุณกอล์ฟ เป็นสูตรต้นตำรับจากจังหวัดภูเก็ต ซึ่งทำกันมานับสิบๆ ปี นำมาดัดแปลงจากปาท่องโก๋เกลียวที่ตัวเล็ก ๆ โดยทำให้มีขนาดใหญ่ขึ้น เน้นที่กรอบนอก นุ่มใน ไม่อมน้ำมัน

สำหรับ สูตรการทำ “ปาท่องโก๋เกลียว” คุณกอล์ฟแจกแจงว่า การทำปาท่องโก๋ประมาณ 70 ตัว จะใช้แป้งสาลี 5 กก., ผงฟู 2 ช้อนชา, เกลือ 15 ช้อนชา, น้ำตาลทราย 200 กรัม, น้ำเปล่า 4 ลิตร, น้ำมันพืช 500 กรัม

วิธีทำแป้งปาท่องโก๋ ละลายน้ำเปล่า ผงฟู น้ำตาลทราย เกลือ ให้เข้ากัน จากนั้นเทแป้งสาลี และน้ำมันพืชลงนวดรวมกัน ซึ่งใช้มือนวด ใช้เวลานวดประมาณ 15 นาที อย่านวดนานกว่านี้ เพราะแป้งจะเหนียวเกินไป

ส่วนถ้าจะทำเป็น “ซาลาเปาทอด” ซึ่งร้านนี้ก็ทำขายด้วย สูตรแป้งซาลาเปานั้นก็ใช้สูตรเดียวกับแป้งปาท่องโก๋ แต่สัดส่วนน้ำตาลทรายเพิ่มเป็น 800 กรัม ส่วนวิธีการทำจะคล้าย ๆ กับแป้งปาท่องโก๋เกลียว

การปั้นแป้งปาท่องโก๋เกลียว หรือแป้งซาลาเปา แบ่งแป้งก้อนละประมาณ 70-72 กรัม โดยปาท่องโก๋เกลียวจะปั้นให้แป้งเป็นแบบยาว ประมาณ 15-20 เซนติเมตร ขณะที่แป้งซาลาเปาจะเป็นแบบกลม ขนาดเส้นผ่าศูนย์ 10 เซนติเมตร เมื่อปั้นเสร็จก็นำลงทอดในกระทะซึ่งตั้งน้ำมันพืชให้ร้อนไว้ ซึ่งใช้เวลาทอดราว 10 นาที

อย่างไรก็ตาม ก่อนที่จะทอดปาท่องโก๋เกลียว หรือซาลาเปา ต้องทอดสอบเสียก่อนว่าน้ำมันร้อนใช้ได้หรือยัง โดยเจียดแป้งเล็กน้อยลงทอด หากทอดไปชั่วครู่แล้วดูว่าแป้งออกสีแดง ๆ ก็เป็นอันใช้ได้

คุณแอน และคุณกอล์ฟ ร่วมกันบอกว่า ในการขาย จะต้องกะปริมาณการขายปาท่องโก๋หรือซาลาเปาในแต่ละวันให้ดี ต้องกะแป้งของทั้งสองประเภทให้เหมาะสม เพราะแป้งสดนั้นจะมีอายุเพียงแค่ 5-6 ชั่วโมงเท่านั้น ค้างคืนไม่ได้ เพราะไม่ได้ใส่สารกันบูด และต้องค่อย ๆ ทยอยทอด ไม่ทอดคราวละปริมาณมาก ๆ

ต่อไปเป็นสูตร “สังขยาใบเตยสด” ซึ่งขายคู่กับปาท่องโก๋เกลียวหรือซาลาเปา ใช้สูตรกะทิสด 5 กก., ไข่แดง (ไข่ไก่) 30 ฟอง, น้ำตาลปี๊บ 1 กก., แป้งข้าวโพด 300 กรัม, นมสด 1 กระป๋อง, เกลือ 20 ช้อนชา, น้ำใบเตยคั้น 1 ลิตร วิธีทำก็นำกะทิสดตั้งไฟ จากนั้นใส่ส่วนผสมต่าง ๆ ลงไป แต่ไข่แดงไข่ไก่นั้นจะต้องตีให้เข้ากันเสียก่อนที่จะใส่ลงไป ขณะที่น้ำใบเตยให้เทใส่เป็นขั้นตอนสุดท้าย และใช้เวลากวนอุ่นสังขยาประมาณ 1 ชั่วโมง

นอกจากนี้ยังมี “สังขยาชานมเย็น” วิธีทำคือชงน้ำชาดำเย็น 1 ลิตร กับนมข้น 1 กระป๋องให้เข้ากัน แทนการใช้น้ำใบเตยสด ส่วนสัดส่วนวัตถุดิบอื่น และวิธีทำของสังขยาชานมเย็น ก็จะเหมือนสังขยาใบเตยสดหมดทุกอย่าง เพียงแต่ต้องลดน้ำตาลปี๊บลงเหลือ 800 กรัม เพราะได้ความหวานจากนมข้นส่วนหนึ่งแล้ว

การขายให้ลูกค้านั้น เมื่อลูกค้าสั่งปาท่องโก๋เกลียว หรือซาลาเปา ก็ให้ตัดแบ่งเป็นชิ้น ๆ ขนาดพอคำใส่กล่อง ส่วนสังขยานั้นก็ตักแบ่งใส่กล่องพลาสติกกล่องละ 50 กรัม ขายในราคาชุดละ 30 บาท

จากสัดส่วนแป้ง 5 กก. ซึ่งทำได้ราว 70 ชุด ขายชุดละ 30 บาท ก็จะได้ 2,100 บาท โดยต้นทุนที่รวมทุนสังขยาด้วย จะตกประมาณ 1,500 บาทขึ้นไป หรือเบ็ดเสร็จแล้วจะมีกำไร 500-600 บาท ต่อ 70 ชุด

ใครสนใจอาชีพนี้ ใครสนใจสินค้าของคุณแอนและคุณกอล์ฟ ระหว่างวันที่ 16-21 ก.ค. 2552 นี้ ไปดู ไปชิม ได้ที่ชั้นจี ศูนย์การค้าเดอะมอลล์ บางแค และทั้งคู่ยังรับออกร้านนอกสถานที่ด้วย โดยติดต่อได้ที่ โทร.08-1062-0741 และ 08-1433-5166 ทั้งนี้ นี่ก็เป็นอีก “ช่องทางทำกิน” ที่ทำเงินได้หลายแบบ และได้ทั่วไป

สุภารัตน์ ยอดศิริวิชัยกุล :รายงาน


คู่มือลงทุน...ปาท่องโก๋เกลียว-สังขยา
ทุน อุปกรณ์ ประมาณ 15,000 บาทขึ้นไป
ทุนวัตถุดิบ ประมาณ 70% ของราคาขาย
ราย ได้ ราคาขายชุดละ 30 บาท
แรงงาน 1 คนขึ้นไป
ตลาด ย่านอาหาร, ชุมชน, งานออกร้าน
จุดน่าสนใจ ทำขายได้ทั่วไป-ขายได้ตลอดวัน
เครดิต จาก เดลินิวส์

'รอง เท้านินจา' สินค้าสุดฮิต

ตลาดสินค้าสำหรับ เกษตรกรเป็นตลาดที่ไม่ควรมองข้าม เพราะความเป็นจริงถือว่าเป็นตลาดที่ใหญ่ โดยเฉพาะอุปกรณ์หรือตัวช่วยในการทำเกษตร ที่ยังมีช่องว่างให้แทรกได้อีกเยอะ อย่างเช่นงานผลิตรองเท้าสำหรับใส่ลงสวน ที่เรียกว่า “รองเท้า นินจา” ที่ทีม “ช่องทางทำกิน” จะนำเสนอในวันนี้...

“ประชุม เลียดทอง” เจ้าของสินค้า “รองเท้านินจา” แห่งกลุ่มแม่บ้านหมู่ 3 บ้านบัวงาม ต.บัวงาม อ.ดำเนินสะดวก จ.ราชบุรี เล่าว่า รองเท้าทำสวนที่เกษตรกรหรือคนทั่วไปมักเรียกติดปากว่า “รองเท้านินจา” นี้ เป็นภูมิปัญญาดั้งเดิมของคนในพื้นที่ซึ่งมีการทำขึ้นมาใช้ในครัวเรือนนาน แล้ว เพียงแต่รูปแบบในยุคก่อนจะแตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับคนที่ทำหรือใช้วัสดุอะไรทำ เป็นไปในลักษณะต่างคนต่างทำต่างคนต่างใช้

ต่อมาตนเห็นว่ามีความต้อง การในตลาดสูง คิดว่าน่าจะนำมาต่อยอดและทำเป็นอาชีพได้ ก็เลยลองทำเพื่อลองตลาด ปรากฏว่าได้รับการตอบรับดี จึงยึดอาชีพผลิตรองเท้านี้มาเกือบ 20 ปีแล้ว โดยใช้ชื่อสินค้าว่ารองเท้านินจายี่ห้อ “ช.รุ่งระวี” รองเท้านี้กลายเป็นสินค้าขึ้นชื่อของพื้นที่นี้ มีการส่งไปขายได้ทั่วประเทศ

ลักษณะ การใช้งานรองเท้า ประชุมบอกว่า ส่วนใหญ่เกษตรกรจะนิยมใส่ลงในพื้นที่สวนหรือนาข้าว หรือพื้นที่ที่มีลักษณะเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำ มีลักษณะเป็นดินโคลน เพื่อป้องกันการเกิดบาดแผลจากหอยเชอรี่ หนามจากวัชพืช เพื่อ “ป้องกันโรคฉี่หนู” ส่วนสาเหตุที่รองเท้านินจาเป็นที่นิยม เหตุผลคือรองเท้านี้ใช้งานสะดวกกว่ารองเท้าบู๊ตยาง เพราะน้ำหนักเบากว่า สวมใส่สบายกว่า ที่สำคัญเมื่อใส่เดินในโคลนหรือน้ำจะไม่หนัก เพราะใช้วัสดุผ้าแทนยาง รองเท้าก็จะไม่เก็บน้ำไว้ ทำให้ขณะเดินรองเท้าจะไม่จมดินเหมือนรองเท้าบู๊ตยาง

“กลุ่มลูกค้า หลักก็คือเกษตรกร รองลงมาก็จะเป็นร้านจำหน่ายอุปกรณ์การเกษตรที่นำไปขายต่อ รวมถึงบริษัทจำหน่ายอุปกรณ์การเกษตรที่จะซื้อเพื่อนำไปแจกให้ลูกค้าอีกต่อ หนึ่ง” เจ้าของผลิต ภัณฑ์กล่าว

ราคาจำหน่าย เริ่มตั้งแต่คู่ละ 50 บาท ไปจนถึงคู่ละ 70 บาท ปัจจุบันผลิตอยู่ 3 แบบคือ แบบสั้น หุ้มเหนือข้อเท้า แบบยาว หุ้มถึงใต้หัวเข่า และแบบลายพราง ทหาร สำหรับคนที่ชอบรองเท้าที่มีลูกเล่นเพิ่มขึ้น ซึ่งรองเท้านินจาแบบยาวจะขายดีกว่าแบบสั้น แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความสะดวกและการใช้งานของลูกค้าเป็นสำคัญ

ทุน เบื้องต้นอาชีพนี้ ถ้าทำเป็นอุตสาห กรรมเล็ก ๆ ใช้เงินลงทุนครั้งแรกประมาณ 1 แสนบาท ส่วนใหญ่จะเป็นค่าเครื่องจักรและอุปกรณ์ในการตัดเย็บ อาทิ จักรเย็บผ้าอุตสาห กรรม, เครื่องตัดผ้า, เครื่องปั๊มสำหรับขึ้นรูปรองเท้า และจักรโพ้งอุตสาหกรรม ส่วนอุปกรณ์อื่น ๆ ก็เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในงานตัดเย็บทั่วไป

ทุนวัตถุดิบ อยู่ที่ประมาณ 70% จากราคาขาย โดยทางกลุ่มนี้จะเน้นผลิตเป็นจำนวนมากเพื่อขายส่ง

สำหรับ วัสดุที่ใช้ในการทำรองเท้านินจา ประกอบด้วย ผ้าลายสองหรือผ้าพีวีซี เน้นเหนียว ไม่อุ้มน้ำ, โฟมยางอัดแข็ง หนา 3 มิลลิเมตร สำหรับใช้ทำพื้นรองเท้า, เชือกสำหรับใช้ผูกรองเท้า, ซิป, ด้ายเย็บผ้า เป็นต้น

ขั้นตอนการทำมีไม่กี่ขั้นตอน คล้ายการเย็บรองเท้าผ้าทั่วไป จะมีขั้นตอนพิเศษเพิ่มขึ้นก็ในส่วนที่ต้องทำพื้นรองเท้าให้หนา เริ่มจากนำผ้าที่เตรียมไว้มาตัดเป็นชิ้นส่วนตามแบบหรือแพทเทิร์นที่ได้วาง ไว้ จากนั้นนำมาเย็บให้เป็นชิ้นเข้าด้วยกัน แยกออกเป็น 2 ส่วนประกอบคือ ส่วนที่เป็นตัวรองเท้า กับส่วนที่เป็นพื้นรองเท้า

ในส่วนที่เป็นพื้น รองเท้า หลังจากยัดโฟมยางที่เป็นพื้นรองเท้าเข้าไปไว้ด้านในแล้ว ก็จะใช้วิธีเย็บด้ายขึ้นลงย้อนไปมาหลาย ๆ รอบเพื่อให้เกิดลายที่พื้นรองเท้า และมีข้อดีคือช่วยทำให้พื้นรองเท้ายึดติดแน่น ทำให้พื้นรองเท้าหนาขึ้น และทำให้พื้นรองเท้าไม่ลื่นง่าย ขณะเดินบนพื้นเปียกแฉะ เมื่อเย็บเสร็จแล้วก็มาทำในส่วนที่เป็นตัวรองเท้า เมื่อเสร็จก็นำ 2 ส่วนมาประกอบเข้าด้วยกัน บรรจุหีบห่อ เป็นอันเสร็จขั้นตอนการทำรองเท้านินจา

“ตอน นี้ถือว่ากำลังการผลิตแทบจะไม่ทันกับความต้องการ เพราะตลาดมีความต้องการสูง ส่วนตัวเชื่อว่าตลาดยังโตได้อีกมาก” เจ้าของผลิตภัณฑ์กล่าวทิ้งท้าย

สนใจ ผลิตภัณฑ์ของกลุ่มแม่บ้านหมู่ 3 บ้านบัวงาม ติดต่อได้ที่เลขที่ 16 ต.บัวงาม อ.ดำเนินสะดวก จ.ราชบุรี โทร.0-3227-9122, 08-1858-5004, 08-9690-3813 ซึ่งนี่ก็เป็นอีกงานฝีมือที่ต่อยอดจากภูมิปัญญาได้อย่างน่าสนใจ และเป็นอีกบทพิสูจน์ว่าทำสินค้าขายเกษตรกรก็น่าสนใจ อย่ามองข้าม !!.

ศิริ โรจน์ ศิริแพทย์ : รายงาน เดลินิวส์

"ธุรกิจ สู่ความร่ำรวย"

ทำธุรกิจอะไรดีจึงจะรวย? เป็นคำถามยอดฮิตสำหรับคนที่คิดอยากจะผันตัวเองมาเป็นผู้ประกอบการ แต่ยังไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นอย่างไรดี สิ่งที่ผมจะแนะนำต่อไปนี้คือแนวทางที่จะช่วยชี้ช่องทางให้ท่านได้ลองคิดว่า ท่านสนใจธุรกิจประเภทใด

ก่อนอื่น ท่านควรถามตนเองก่อนว่า ท่านมีความรู้เกี่ยวกับความเป็นผู้ประกอบการมากน้อยแค่ไหน หากท่านไม่เคยรู้อะไรมาเลยก็ควรศึกษาแสวงหาความรู้และข้อมูลต่างๆจากหน่วย งานภาครัฐอาทิเช่น กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เป็นต้น สำหรับเป็นความรู้เบื้องต้นที่ท่านจะเริ่มต้นคิดหรือสานต่อความฝันที่จะทำ ธุรกิจของตนเองในขั้นตอนต่อไป

องค์ประกอบพื้นฐานที่ผู้ประกอบการจำ เป็นต้องรู้ ต้องมี

หลายท่านอาจกระโดดเข้ามาเป็นผู้ประกอบการ โดยทำธุรกิจตามอย่างผู้ประกอบการรายอื่นๆ ที่ประสบความสำเร็จ ธุรกิจอะไรบูมก็แห่ทำกันเป็นแฟชั่น เช่น เปิดร้านกาแฟสด เปิดร้านบริการอินเทอร์เน็ต เป็นต้น หรือบางครั้งอาจลงทุนทำธุรกิจเพราะมีพรรคพวกชวน โดยที่ตนเองมิได้มีความรู้ หรือเตรียมการ เตรียมความพร้อมสำหรับธุรกิจที่ทำมาก่อนแต่อย่างใด เรียกว่าขาดทั้งความรู้และประสบการณ์ ซึ่งทำให้ผู้ประกอบการมือใหม่หัดขับทั้งหลายมีโอกาสที่จะประสบปัญหา และล้มเหลวได้สูงโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ขาดการวางแผนธุรกิจที่ดี

ผู้ ประกอบการหลายท่านรับช่วงต่อกิจการมาจากบรรพบุรุษ ในยุคก่อนศตวรรษที่ 20 บรรพบุรุษของท่านเป็นเถ้าแก่ ธุรกิจที่ทำมักมีคู่แข่งน้อย ธุรกิจก็ยังพอไปได้ พอมาในยุคนี้ธุรกิจหลายประเภทที่มีมานาน อาทิ กิจการธนาคาร หรือแม้แต่ร้านของขายของชำ ก็มีการแข่งขันกันมากขึ้นกลายเป็นร้านค้าสะดวกซื้อและซูเปอร์มาร์เก็ตมากมาย

ท่าน จะเห็นว่าสถานการณ์และสิ่งแวดล้อมในทางธุรกิจได้เปลี่ยนไปตามกระแสความเจริญ ทางเศรษฐกิจของโลก หากคู่แข่งทางการค้ามีมากขึ้น ในขณะที่ท่านยังมิได้ปรับเปลี่ยนวิธีคิดในการประกอบธุรกิจแต่อย่างใด ท่านอาจประสบปัญหาได้เช่นกัน

ดังนั้น ไม่ว่าท่านจะเป็นผู้ประกอบการใหม่ เป็นทายาทธุรกิจที่รับช่วงกิจการ หรือเป็นผู้ประกอบการชั้นเซียน ท่านจะต้องมี วิธีคิด ในการประกอบธุรกิจ อะไร อย่างไร จึงจะอยู่รอด เจริญ อย่างยั่งยืน


ผมขอเสนอวิธีคิด ธุรกิจที่มีอนาคตพารวย เพื่อเป็นแนวทางให้ท่านได้พิจารณาเป็นตัวอย่างการทำธุรกิจดังนี้.-

1. ธุรกิจที่ต้นทุนวัตถุดิบราคาถูก สินค้าสำเร็จรูปมีราคาสูง เช่น
* ผู้ประกอบการที่ทราบคุณสมบัติของสมุนไพรไทยแต่ละชนิด เมื่อผลิตโดยใช้อัตราส่วนสมุนไพรแต่ละชนิดอย่างเหมาะสมเป็นยารักษาโรคที่ ผลิตขึ้นด้วยวิธีการและเทคโนโลยีสมัยใหม่ซึ่งสามารถนำมาบริโภคได้อย่างสะดวก เช่น ยารักษาโรคหัวใจ ตับ ไต กระเพาะ ลำไส้ เป็นต้น
* ผู้ประกอบการที่มีความรู้ ความสามารถ ประดิษฐ์คิดค้นเครื่องออกกำลังกายชิ้นเดียว ที่ช่วยความสมบูรณ์แข็งแรงของร่างกายหลายส่วน จะได้เปรียบคู่แข่งรายอื่นๆ เพราะจะสามารถขายได้ในราคาสูงเพราะผู้ซื้อจะได้ประโยชน์ที่คุ้มค่ากว่า
* ธุรกิจสื่อสาร โทรคมนาคม ที่ต้องลงทุนสูงเพราะต้องใช้เครื่องมือ อุปกรณ์ที่ทันสมัย เมื่อเครื่องมือสื่อสารกลายเป็นปัจจัยสำคัญในชีวิตผู้คน ผู้อุปโภคยิ่งใช้ยิ่งต้องจ่ายเพิ่มขึ้น

2. ธุรกิจกินแล้วใช้หมดไปต่อเนื่อง เช่น
* ผู้ผลิตนมและจำหน่ายนมเปรี้ยวที่มีคุณสมบัติพิเศษเป็นภูมิคุ้มกัน ทำให้กระเพาะลำไส้แข็งแรง เข้าหลัก "กินง่าย ถ่ายคล่อง ป้องกันเชื้อ"
* ท่านไม่ควรประกอบธุรกิจสินค้าคงทนถาวร ที่กินไม่ได้แต่ใช้งานได้นานปี เช่น ขายกรรไกรตัดเล็บ เป็นต้น

3. ธุรกิจที่ช่วยแก้ปัญหาความวิตก กังวล ความหวาดกลัว เช่น
* ธุรกิจขายยาอายุวัฒนะ ที่ทำให้สุขภาพสมบูรณ์ แข็งแรง ไม่เจ็บป่วยไข้โดยง่าย และยังคงชะลอความหนุ่มสาวไม่แก่ไปตามวัย ซึ่งเป็นความวิตกกังวล และความหวาดกลัวของคนส่วนใหญ่

4. ธุรกิจเสริมความสวย ความงาม เช่น
* ธุรกิจเสริมสวยความงามครบวงจรตั้งแต่ศีรษะ จรด ปลายเท้า

5. ธุรกิจที่ตอบสนองความสุข ความพอใจ เช่น
* ธุรกิจสปา ที่ตอบสนองความต้องการของคนชนชั้นระดับกลางถึงสูง ที่มีรายได้พร้อมยอมจ่ายมากเพื่อแลกกับความพอใจ ความสุข

6. ธุรกิจเพื่อครอบครัว อนาคต เช่น
* ปัจจุบันค่านิยมตั้งครอบครัวใหม่ สร้างบ้านใหม่ ซื้อบ้านใหม่มีมากกว่าแต่ก่อนทำให้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มีอนาคต ภายใต้แหล่งทำเลที่อยู่ในความต้องการของผู้บริโภค ความน่าเชื่อถือของเจ้าของโครงการและราคาที่คุ้มค่า คุณภาพ รูปทรง ประโยชน์ใช้สอย ความสวยงาม

7. ธุรกิจที่ขายและให้ความรู้ เช่น
* สังคมยุคใหม่ เป็นสังคมแห่งความรู้ และการเรียนรู้ ดังจะเห็นได้จากผู้ปกครองต่างแย่งกันจ่ายค่าเรียนล่วงหน้าเพื่อจองที่นั่ง เรียนให้แก่บุตรหลาน


*** บทความโดย พันธ์ศักดิ์ ลีลาวรรณกุลศิริ ****
จาก ผู้จัดการออนไลน์ www.manager.co.th

ร้านขายผัก และกับข้าวถุง ป้าจวบ

"ลิขิตฟ้า หรือจะสู้ มานะคน"

วันนี้ workdeena จะพูดถึง อาชีพอิสระ อีกอาชีพนึ่งนั้นคือ "ร้านขายผัก และกับข้าวถุง" ของ ป้าจวบ อาชีพนี้เป็นอาชีพ ซื้อมาขายไป ซึ่งเราไม่ต้องมีฝีมืออะไรมากนัก แค่คำนวนต้นทุนกำไรให้ได้แค่นั้น แล้ว workdeena ก็ได้พูดคุยกับ เจ้าของธุรกิจ อาชีพอิสระอาชีพนี้ เพื่อขอข้อมูล หากเพื่อน ๆ อยากทำก็จะได้มีแนวทางในการประกอบอาชีพนี้


workdeena;- สวัสดี ป้าจวบ วันนี้มาหาไม่ได้มาซื้อผักอย่างเดียวนะ จะขอสอบถาม ป้าจวบเกี่ยวกับการทำอาชีพนี้ว่าจะเริ่มต้นอย่างไรดี ไม่ทราบว่าป้าจวบจะให้ข้อมูลได้ไหม


เจ้าของธุรกิจ;- ได้เลย...จะไปอยากอะไร ขอแค่มีเงินไปซื้อของมาขายก็ทำได้แ้ล้ว แต่เราต้องดูก่อนนะว่าที่ ๆ เราจะขายเป็นแบบไหน ความต้องการลูกค้ามีอะไรบ้าง ไม่ใช่อยากขายอะไรก็ขาย ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ขายไม่ได้นะ แล้วอีกอย่างการมีร้าน ก็อย่าไปเช่าเขาเลยให้ทำหน้าบ้านตัวเองดีกว่า จะขายได้มาก ได้น้อย ยังไงก็ไม่มีค่าใช้จ่ายมาก แต่ถ้าอยากจะเช่าก็ตามใจ ถ้ามันขายดี แต่ต้องขายดีจริง ๆ นะ เพราะกำไรแต่ละอย่างมันน้อย ถ้ามันขายได้มากชิ้นมันก็หลายเงินอยู่ แต่ถ้ามันขายได้น้อยชิ้นมันก็จะขาดทุนนะ เพราะของมันเน่าเสียได้

workdeena;- ป้าจวบให้ข้อคิดที่ดีมากเลย แล้วลงทุนแต่ละวันใช้เงินมากไหม แล้วได้กำไรเท่าไรพอบอกได้ไหม

เจ้าของธุรกิจ;- ลงทุนแต่ละวันก็มากพอสมควรนะ บางวันก็ 2,000 บางวันก็ 3,000 เอาแน่ไม่ได้แล้วแต่ของเหลือมากน้อยแค่ไหน หมายถึงพวกผักนะ แต่ถ้าเป็นกับข้าวถุง เราจะให้เหลือไม่ได้ถ้าเหลือก็ต้องกินเองหรือทิ้งไปถ้ามันเสีย อย่าไปหรอกให้ลูกค้าซื้อไปนะ เดี๋ยวลูกค้าจะหนี้หมด เรื่องกำไรก็ประมาณ 800 -900บาท แต่ถ้าวันไหนขายดีก็เป็นพันเหมือนกัน ป้า บอกไว้ก่อนนะถ้าจะทำอาชีพนี้ต้องขยัน ๆ นะ เพราะต้องตื่นแต่เช้าไปตลาด แล้วกลับมาต้องรีบเปิดร้านแต่เช้าจะได้ทันลูกค้า และกว่าจะปิดร้านก็ค่ำ แต่ถ้าใครทำได้ก็ดีนะมันอิสระดี ไม่มีใครมาเป็นเจ้านายเรา


ทาง workdeena ต้องขอขอบคุณ ป้าจวบเป็นอย่างมากที่ให้ข้อมูลดี ๆ และให้ผักสด ๆ มากิน (ฟรีอีกแล้ว) ถ้าเพื่อนคนไหนอยากมีอาชีพอิสระ แบบนี้และใช้เงินลงทุนไม่มากนัก อาชีพนี้ก็น่าที่จะเป็นอีกทางเลือกนึ่งให้เพื่อน ๆ ได้ลองทำดูนะ...

การทำ โดนัทเค้ก

อาชีพอิสระวันนี้ workdeena ขอเสนอการทำขนมมีรู นั้นก็คือ "โดนัท" ซึ่งเป็นขนมที่ทั่วโลกรู้จัก และนิยมทานกัน ในบ้านเราก็มีรายใหญ่ ร้านดังมีชื่อเสียงมาจากต่างประเทศ เปิดให้บริการกันหลายร้าน จนบางคนลืม โดนัทแบบบ้านๆ ไปเลย นั้นคือ โดนัสโรยน้ำตาล แบบธรรมดา แต่เพื่อนๆ รู้ไหมว่า กำไรไม่ธรรมดาเลย เพื่อนๆ สามารถทำส่งร้านขายขนมส่งได้ หรือจะตั้งร้านขายเองที่ตลาดก็สามารถทำได้


workdeena อยากให้เพื่อนได้ทราบก็ว่า โดนัทมีอยู่ 2 ประเภท คือ โดนัทยีสต์ และโดนัทเค้ก

- โดนัทยีสต์นั้น จะใช้ยีสต์เป็นส่วนประกอบในการหมักแป้งให้ขึ้นฟู

- โดนัทเค้ก จะใช้ผงฟูในการหมักแป้งให้ขึ้นฟู

ดังนั้นรสชาติจะต่างกัน และเนื้อของโดนัท ก็ต่างกันด้วย แต่วันนี้ workdeena จะบอกวิธีการทำ โดนัสเค้ก แบบที่ร้านใหญ่ๆ เข้าทำขายกัน

โดนัทเค้ก :
ส่วนผสม

แป้ง สาลี 1 กิโล
เนยละลาย 1/2 ถ้วยตวง
ไข่ไก่ 2 ฟอง
ผงฟู 3 ช้อนชา
น้ำตาล ทราย 1/2 ถ้วยตวง

วิธีทำ
ให้นำแป้งสาลีผสมกับผงฟู ร่อนรวมกันแล้วพักไว้
แล้ว ให้ตีน้ำตาลทรายกับไข่ขาว(เอาเฉพาะไข่ขาวนะ) ให้ขึ้นฟู
เมื่อน้ำตาลกับ ไข่ขาว ขึ้นฟูดีแล้วให้นำแป้งและเนยละลาย เทสลับกัน แล้วตีให้เข้ากัน
เสร็จ แล้ว ให้นำแป้งมาวางบนโต๊ะ แล้วคลึงและรีดให้เป็นแผ่น ให้หนาพอสมควร
หลัง จากนั้น ก็ใช้พิมพ์กดให้เป็นวง แล้วลงทอดในน้ำมัน ใช้ไฟปานกลาง ให้เหลือง

ส่วน หน้าตา หรือน้ำตาลสีต่างๆ ที่ใช้ราดบน โดนัท ก็แล้วแต่เพื่อนๆ ชอบ แต่ workdeena ขอแค่คลุก น้ำตาลทรายเพียงอย่างเดียว ก็อร่อยแล้ว


ขอบ คุณภาพสวยๆ จาก Wikipedia

มาแปรรูป 'ผลไม้ถูก' ขาย รวย

หน้า “ช่องทางทำกิน” เสาร์นี้มีพื้นที่มากพอสมควร ผมก็เลยจะนำข้อมูลการ “แปรรูปผลไม้” สัก 2-3 อย่างมาบอกกล่าวกันใน “ถอดรหัสอาชีพ” เผื่อใครมีแหล่งผลไม้ที่ราคาถูก อาจจะซื้อหามาแปรรูปขายเพิ่มมูลค่า-สร้างรายได้กัน ก็จะเป็นในส่วนของผลไม้ที่ตอนนี้หาได้ไม่ยาก และราคาก็ถูก หรือไม่สูงมาก

เริ่ม จาก “ลำไย” เอาเป็น “วุ้นลำไย” ก็แล้วกัน...โดยส่วนผสมตามสูตรก็คือ...ลำไยสด 3 กิโลกรัม ต่อน้ำตาลทราย 3 กิโลกรัม และผงวุ้น 1 ถุง (ขนาด 25 กรัม) วิธีทำเริ่มจาก...นำน้ำเปล่าประมาณ 3 กิโลกรัมใส่หม้อตั้งไฟ ต้มให้เดือด แล้วใส่น้ำตาลทรายลงไปคนให้ละลาย จากนั้นนำผงวุ้นไปละลายกับน้ำเย็นเพื่อให้แตกตัว ก่อนที่ จะนำมาเทใส่ใน หม้อน้ำที่ตั้งไฟไว้ “เคล็ดลับก็คือ อย่าเทผงวุ้นลงไปในน้ำร้อน ๆ เพราะจะทำให้ผงวุ้นแข็งตัวเกินไป” เมื่อเทผงวุ้นที่ละลายในน้ำเย็นลงไปในหม้อน้ำที่ตั้งไฟแล้ว ก็คนให้เข้ากัน

ตั้ง ไฟต่ออีกสักพักจนกระทั่งเดือด ระหว่างนี้เตรียมถ้วยพลาสติกขนาด 6 ออนซ์ ใส่ลำไยสดที่ปอกเปลือกแกะเมล็ดแล้ว 4-5 ลูก แล้วตักน้ำวุ้นที่เดือดใส่ตามลงไป พักทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที น้ำวุ้นจะแข็งตัวกลายเป็นเนื้อวุ้น ซึ่งสามารถทานได้ทันที แต่ควรแช่เย็นก่อนทาน-ก่อนขาย จะได้รสชาติหวานเย็นชื่นใจ

“วุ้นลำไย” นี้หากแช่เย็นจะเก็บไว้ได้ 2-3 วัน จากสูตรนี้จะทำได้ประมาณ 30-35 ถ้วย ขายราคาถ้วยละ 10 บาทขึ้นไปได้สบาย ๆ ส่วนกำไรก็แล้วแต่ราคาลำไยสด ราคายิ่งต่ำกำไรก็ยิ่งสูง

อีกชนิด เอาเป็น “มังคุด” และแปรรูปทำเป็น “น้ำมังคุด” ซึ่งมังคุดนั้นเป็นผลไม้ที่มีวิตามินซี ช่วยแก้อาการคลื่นไส้ได้ ในช่วงที่มีผลผลิตมังคุดมาก และราคาถูก การแปรรูปโดยการทำเป็นน้ำมังคุดขายก็เป็นอีกวิธีเพิ่มมูลค่า และสำหรับส่วนผสมในการทำน้ำมังคุดตามสูตรที่ผมมีอยู่ ก็คือ...เนื้อมังคุดแกะเมล็ดในออก 1 กิโลกรัม ต่อน้ำต้มสุกประมาณ 8 ถ้วยตวง น้ำตาลทราย 5 ถ้วยตวง และเกลือป่น 2 ช้อนชา

วิธีทำเริ่มจาก...นำ เนื้อมังคุดที่เอาเมล็ดออกแล้ว 1 กิโลกรัมใส่หม้อ ใส่น้ำลงไปตามส่วนคือ 8 ถ้วยตวง จากนั้นก็ติดไฟต้มและเคี่ยวด้วยไฟอ่อน ๆ จนเนื้อมังคุดเปื่อยยุ่ย จึงนำลงจากเตาไฟ จากนั้นกรองเอากากที่ไม่ต้องการทิ้ง บีบเอาน้ำออกจากกากให้หมด ยกน้ำมังคุดที่กรองได้ขึ้นตั้งไฟอีกครั้ง โดยเติมน้ำสะอาดเพิ่มลงไปให้ได้ปริมาณเท่าที่ต้มตอนแรก ต้มจนเดือดอีกครั้ง พอเดือดก็ใส่น้ำตาลทรายลงไป 5 ถ้วยตวง
ลำดับสุดท้ายเติมเกลือป่นลงไป เมื่อเดือดดีก็นำขึ้นจากเตามากรองอีกรอบ จากนั้นปล่อยให้เย็น แล้วรินใส่ภาชนะ ก็จะได้ “น้ำมังคุด” พร้อมขาย ราคาขายก็ตั้งตามความเหมาะสมกับต้นทุน

พื้นที่มีอีกเล็กน้อย หา “เงาะ” มาทำ “เงาะลอยแก้ว” ด้วยแล้วกัน ขั้นตอนการทำเงาะลอยแก้วนั้นไม่ยุ่งยาก จะคล้ายวิธีทำสละลอยแก้ว เพียงแต่เปลี่ยนวัตถุดิบเป็นเงาะเท่านั้น และไม่ต้องต้มให้สุกเหมือนสละ

วิธี ทำเริ่มจาก...นำเงาะมาปอกเปลือก แกะเมล็ดออกแล้วหั่นเป็นชิ้นพอคำ นำไปล้างให้สะอาด แต่ไม่ควรแช่น้ำทิ้งไว้นานเพราะจะทำให้เนื้อเงาะเละเกินไป จากนั้นเตรียมทำน้ำเชื่อม โดยสัดส่วนก็ใช้น้ำตาลทรายประมาณ 1 กิโลกรัม ผสมกับน้ำเปล่าประมาณ 300 กรัม นำขึ้นตั้งไฟเคี่ยวให้เข้ากัน ให้น้ำตาลทรายละลายเป็นน้ำเชื่อม ทิ้งไว้ให้เย็นและนำเข้าเก็บในตู้เย็น เมื่อจะขายก็ตักน้ำเชื่อมใส่ถ้วย ใส่ชิ้นเงาะลงไป แล้วเติมน้ำแข็ง

ราคา ขาย “เงาะลอยแก้ว” ก็ตั้งได้ตั้งแต่ 15-20 บาท ขึ้นอยู่กับปริมาณ-แหล่งที่ขาย โดยใส่เนื้อเงาะ 4-5 ชิ้น หรือตามขนาดภาชนะ ซึ่งเงาะ 1 กิโลกรัมจะทำขายได้ประมาณ 4-5 ถ้วยขึ้นไป

ก็เป็นข้อมูล “แปรรูปผลไม้” ที่นำมาฝากให้ลองพิจารณากันอีกครั้งครับ


'กระยาสารท' ขนมโบราณทำเงิน

“กระยาสารท” เป็นขนมไทยพื้นบ้านอีกชนิดหนึ่งที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย คนยุคก่อนจะทำกันช่วงเทศกาลทำบุญวันสารทไทย แรม 15 ค่ำ เดือน 10 แต่ปัจจุบันขนมชนิดนี้ถูกปรับปรุงพัฒนาให้เป็นขนมกินเล่นได้ อย่างเช่นยี่ห้อ “อำนวยขนมไทย” ใน จ.ปทุมธานี ที่ทีม “ช่องทางทำกิน” มีข้อมูลมานำเสนอ...

อำนวย ลางคุณเสน ประธานกลุ่มอาชีพสตรีคลองควาย ต.คลองควาย อ.สามโคก จ.ปทุมธานี เล่าว่า สมัยก่อนพอถึงช่วงเทศกาลสารทไทย ชาวไทยพุทธทุกบ้านจะต้องนำเอาพืชผลทางการเกษตรที่ให้ผลผลิตครั้งแรกในฤดู เก็บเกี่ยว ทั้งข้าวเม่า ข้าวตอก ถั่ว งา น้ำผึ้ง น้ำตาล และน้ำอ้อย มาทำเป็นขนม “กระยาสารท” เพื่อนำไปประกอบพิธีทำบุญในวันแรม 15 ค่ำ เดือน 10 ตามความเชื่อที่ว่า บุญกุศลจะไปสู่ญาติพี่น้องที่เสียชีวิตไปแล้วและยังส่งผลให้พืชผลทางการ เกษตรเจริญงอกงาม และอุดมสมบูรณ์อีกด้วย

แม้วัฒนธรรมการทำขนมชนิดนี้ จะเลือนหายไปตามเวลา จนเกือบไม่เหลือให้เห็นแล้ว แต่ผู้คนส่วนใหญ่ยังติดใจในรสชาติความอร่อยของกระยาสารท ตนเองซึมซับและผูกพันกับขนมไทยเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จึงสนใจอยากจะทดลองทำขายดู ซึ่งการทำกระยาสารทไม่ใช่เรื่องยาก แต่ปัญหาอยู่ที่ว่าทำอย่างไรให้อร่อยโดนใจ

ด้วยพรสวรรค์ บวกกับพรแสวงที่ได้จากการฝึกฝนวิชาทำขนมกระยาสารทจากรุ่นปู่ย่าตายาย พลิกแพลงพัฒนาหลายต่อหลายครั้ง ในที่สุดอำนวยก็ได้สูตรเฉพาะของตนเอง และในปี 2538 ก็เริ่มผันตัวเองจากอาชีพทำนามาเป็นแม่ค้าขายกระยาสารท แล้วชักชวนเพื่อนบ้านจัดตั้งเป็น “กลุ่มอาชีพสตรีคลองควาย” ขึ้น ใช้ทุนเริ่มต้นสำหรับอุปกรณ์ราว 25,000 บาท จากการสนับสนุนของกรมการพัฒนาชุมชน

อำนวยไปอบรมความรู้ตามหน่วยงาน ต่าง ๆ เพื่อพัฒนาสินค้าให้ได้คุณภาพ ทั้งรสชาติ กระบวนการผลิต บรรจุภัณฑ์ จนได้รับการรองทั้งจาก อย., มผช., โอท็อป, รางวัลชนะเลิศกระยาสารทงานของดีเมืองปทุมธานี ฯลฯ ทำให้สินค้าขายดีขึ้นเรื่อย ๆ ล่าสุดยังได้รับเลือกให้วางขายในห้างเทสโก้ โลตัส ด้วย

วัตถุดิบหรือส่วนผสมที่ใช้ในการทำ “กระยาสารท” ก็มี... ข้าวเม่า, ข้าวตอก, ถั่ว, งา, น้ำอ้อย, น้ำกะทิ, มะนาว, นมสด ส่วนอุปกรณ์หลัก ๆ ก็มี... กระทะขนาดใหญ่, เตาแก๊สหรือเตาถ่าน, ไม้พาย, ตะหลิว, ถาดขนาดใหญ่, กะละมัง, ไม้กลิ้ง, พิมพ์ และอุปกรณ์งานครัวเบ็ดเตล็ด

ขั้น ตอนการทำ “กระยาสารท” เริ่มจาก... นำข้าวเม่า ข้าวตอก ถั่ว งา ไปคั่วด้วยไฟอ่อนให้หอมและสุกเหลืองพอดี ใส่ภาชนะแยก วางพักไว้ แล้วก็เตรียมน้ำอ้อย น้ำกะทิ นมสด และน้ำมะนาวให้พร้อม นำกระทะตั้งไฟใส่น้ำอ้อยลงไป ตามด้วยน้ำกะทิและนมสดในสัดส่วนที่พอเหมาะ ใช้ไฟร้อนปานกลางเคี่ยวผสมให้เดือดสักครู่ แล้วเติมน้ำมะนาวเล็กน้อย จะช่วยให้กระยาสารทมีสีเหลืองนวลสวย ใส และกรอบ

ทำการเคี่ยวต่อไป เรื่อย ๆ ประมาณ 2 ชั่วโมงจนส่วนผสมเหนียวได้ที่ นำข้าวตอกใส่ลงไป ตะล่อมคนให้ทั่วและให้เข้ากันดี จากนั้นค่อยนำส่วนผสมที่เหลือเทรวมลงไป โดยใช้ไม้พายคนให้เข้ากันอีกประมาณ 40 นาที ระหว่างนี้ใช้ไฟอ่อน ๆ สังเกตดูส่วนผสมทุกอย่างเกาะติดกันจนเหนียวได้ ค่อยยกลงจากเตา

จาก นั้นนำไปเทลงในแม่พิมพ์ที่เตรียมไว้ แล้วใช้ลูกกลิ้งไม้ผิวเรียบอัดด้วยแรง เพื่อให้กระยาสารทเกาะแน่นติดกัน จากนั้นนำมาตัดเป็นชิ้น ๆ ก่อนแพ็กบรรจุภัณฑ์เพื่อไปวางจำหน่าย โดยการขายก็มีหลายแบบ ถ้าบรรจุกล่อง 300 กรัม ราคา 49 บาท ถ้าแพ็กเป็นถุง ๆ ละ 20-35 บาท หรือชั่งเป็นกิโลกรัม ๆ ละ 100 บาท

คุณอำนวยนั้น จากชาวนา สามารถพัฒนาอาชีพขายกระยาสารท จนกลายเป็นธุรกิจที่ประสบผลสำเร็จ ยืนหยัดมานานราว 16 ปี และช่วยให้คนในชุมชนมีงาน มีรายได้ด้วย โดยเจ้าตัวบอกว่าแม้กำไรที่ได้ไม่มากมาย แต่ได้ความเป็นอยู่ที่ดีของเพื่อนสมาชิก และความสุขในครอบครัว นี่คือกำไรที่มีค่ายิ่งแล้ว

ใครสนใจ “กระยาสารท” สนใจขนมไทยโบราณ “อำนวยขนมไทย” สนใจเคล็ดลับ เทคนิค วิธีการบริหารจัดการธุรกิจ ของกลุ่มอาชีพสตรีคลองควาย ติดต่อได้ที่ เลขที่ 3 หมู่ 6 ต.คลองควาย อ.สามโคก จ.ปทุมธานี โทร.0-2593-2403, 08-9775-0932 แล้วจะรู้ว่า...ทำ-ขายขนมโบราณ...ไม่บานบุรี !!


เชาวลี ชุมขำ :รายงาน เดลินิวส์ http://www.dailynews.co.th

สินค้าแปรรูป ‘ลองกอง’ สร้างรายได้

วิธีทำ... 1.ชั่งน้ำตาลมา 50 กรัม ผสมกับเพคตินให้เข้ากัน, 2.ใส่เนื้อลองกองในกระทะทองเหลือง ยกขึ้นตั้งไฟพอร้อน ใส่ส่วนผสมตามข้อ 1 คนให้ละลาย, 3.ใส่น้ำตาลทรายที่เหลือทีละน้อยจนหมด เคี่ยวไฟอ่อน ใส่กรดมะนาว เคี่ยวต่อจนให้ความหวาน 68 องศาบริกซ์ (เครื่องวัดนี่ก็มีขาย) ก็จะได้ออกมาเป็น “แยมลองกอง” นำบรรจุลงขวดที่ผ่านการนึ่งฆ่าเชื้อและแห้ง เก็บไว้ทานหรือขาย

แถมด้วยสูตร “น้ำลองกอง” ส่วนผสมก็มี... เนื้อลองกอง 1 ถ้วย ต่อน้ำสะอาด 1 ถ้วยครึ่ง, น้ำเชื่อมครึ่งถ้วย, เกลือป่นครึ่งช้อนชา วิธีทำ... แกะเนื้อลองกองใส่เครื่องปั่น เติมน้ำแล้วปั่นต่อ แล้วเติมน้ำเชื่อม ใส่เกลือป่น ชิมรสตามชอบ จะได้น้ำลองกอง ที่รสหวาน หอม เปรี้ยว เค็ม เล็กน้อย ดื่มแล้วชื่นใจ

ก็ ลองไปทำกันดูนะครับ !!

ต่อด้วยข่าวอาชีพ... เดือน ส.ค.นี้ สถาบันเอชานซ์จัดอบรมหลายหลักสูตร อาทิ... การทำเทียน ธูป กำยาน, การทำสเต๊ก และซอสแบบต่าง ๆ, การทำมาม่อนเค้ก, การทำสบู่เหลว แชมพู ครีมนวดและครีมอาบน้ำ, การทำเรซิ่นเลียนแบบวัสดุธรรมชาติ, การทำซาลาเปา, การทำผลิตภัณฑ์ลดเซลลูไลท์, การทำน้ำสลัดยอดนิยม, การทำพิซซ่าหน้าต่าง ๆ อบรมแบบเน้นการปฏิบัติ ใครสนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม และสอบถามค่าใช้จ่ายในการอบรมแต่ละอย่าง ได้ที่ โทร. 0-2933-4597-8, 08-6987-0042

ปิดท้าย... ระหว่างวันที่ 26-30 ส.ค.นี้ เวลา 10.00-20.00 น. ที่ห้องเอ็มซีซีฮอลล์ เดอะมอลล์ บางกะปิ มีการจัดงาน “วันเส้นทางเศรษฐี ครั้งที่ 6” ซึ่งจัดร่วมกับงานมหกรรมอาหารปลอดภัยสู้ภัยเศรษฐกิจ โดยในส่วนของงานวันเส้นทางเศรษฐีนั้นก็จะมีกิจกรรมเกี่ยวกับอาชีพที่น่าสนใจ หลากหลาย มีการจัด ตลาดนัดอาชีพ และ กิจกรรมส่งเสริมการประกอบอาชีพอิสระ หลากรูปแบบ มีการ ให้ข้อมูลความรู้เกี่ยวกับอาชีพต่าง ๆ มีกิจกรรมบนเวทีที่ให้ความรู้ มี ตัวอย่างการประกอบอาชีพต่าง ๆ รวมถึงมีการ อบรมอาชีพอิสระในราคาพิเศษ ด้วย ทั้งนี้ ไม่รวมการอบรมอย่างอื่น ๆ ผู้ที่สนใจไปหาความรู้ทางอาชีพกันได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย

วันนี้ว่า กันได้เท่านี้ก่อน...สวัสดีครับ !!.

ที่มา http://www.dailynews.co.th

‘ลูกเดือยทอดกรอบ’ สมุนไพรทำเงิน

ผสมสมุนไพร-ขายสุขภาพ
ขนมกรุบกรอบทานเล่นจากโรงงานใหญ่ ๆ ที่มีวางขายตามท้องตลาดนั้น บ้างก็มีประโยชน์น้อย บ้างก็มีราคาสูง ซึ่งนี่ก็เป็นช่องว่างทางการตลาดสำหรับรายย่อย เป็น “ช่องทางทำกิน” จากการผลิตขนมกรุบกรอบที่มีประโยชน์-ราคาไม่แพง อย่างการทำ “ลูกเดือยทอดกรอบสมุนไพร” ขาย ก็น่าสนใจ...

ชมพูนุช เผื่อนพิภพ อาจารย์สาขาวิชาวิทยาศาสตร์การอาหารและโภชนาการ คณะเทคโนโลยีคหกรรมศาสตร์ มทร.พระนคร เปิดเผยว่า จากการทำโครงการเกษตรอินทรีย์เป็นผลิตภัณฑ์ เมื่อลงพื้นที่ในต่างจังหวัดก็พบพวกธัญพืชต่าง ๆ เป็นที่นิยมมาก แล้วก็เห็น “ลูกเดือย” ซึ่งใคร ๆ ก็คิดว่านำไปต้มได้เพียงอย่างเดียว

แต่เมื่อ พิจารณาดูแล้ว เห็นว่าน่าจะทำเป็นอย่างอื่นได้ อาทิ อาหารทานเล่นแบบกรุบกรอบ ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ทั้งเด็ก วัยรุ่น ผู้ใหญ่ โดยลูกเดือยมีสารอาหารที่มีประโยชน์แก่ร่างกายมากมาย

เช่น ใยอาหาร วิตามินเอ วิตามินบี 1 ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม แคล เซียม และยังมีสรรพคุณเป็นยาเย็น ใช้บำบัดอาการหลอดลมอักเสบ ปอดอักเสบ น้ำคั่งในปอด แก้ร้อนใน บำรุงไต บำรุงกระเพาะอาหารและม้าม ขับปัสสาวะ ขับเสมหะ บำรุงสตรีหลังคลอด ช่วยย่อยอาหาร และเจริญอาหาร

ทั้งหมดคือ คุณประโยชน์ของเจ้าเม็ดกลม ๆ อ้วน ๆ ที่เรียกว่า “ลูกเดือย”

ส่วน “ลูกเดือยทอดกรอบสมุนไพร” ที่คิดทำขึ้นมา นอกจากลูกเดือยแล้ว ยังมี ใบมะกรูด, พริกไทยดำ เป็นสมุนไพรที่เพิ่มกลิ่นและสีสันให้มีความน่ารับประทานมากขึ้น และมีประโยชน์มากขึ้น

ลูกเดือยทอดกรอบสมุนไพร มีวัตถุดิบและวิธีการทำดังนี้คือ...

วัตถุดิบก็มี ลูกเดือย 250 กรัม, ใบมะกรูด 45 กรัม, เมล็ดพริกไทยดำ 20 กรัม, น้ำตาลทรายขาว 30 กรัม, เกลือป่น 5 กรัม และน้ำมันพืช (สำหรับทอด) 0.5 ลิตร

ส่วนวิธี ทำ...เริ่มจากนำลูกเดือยแช่น้ำสะอาดนาน 1 คืน แล้วต้มให้สุก เมื่อสุกแล้วตักขึ้นให้สะเด็ดน้ำ นำไป อบในตู้อบที่อุณหภูมิ 60 องศา เซลเซียส นาน 4-6 ชั่วโมง วิธีนี้จะทำให้ลูกเดือยเมื่อทอดแล้วจะพองฟูและมีความกรอบนุ่ม ไม่แข็งกระด้าง (หากไม่มีตู้อบให้ใช้วิธีการตากแดดให้ แห้งแทน)

ขั้น ตอนต่อมา ทอดลูกเดือยในน้ำมันที่ร้อนจัด จนพองฟูและมีสีเหลืองทอง นำขึ้นสะเด็ดน้ำมัน โดยแบ่งทอดทีละน้อย เตรียมหั่นใบมะกรูดเป็นฝอยลงทอดให้กรอบดี และทอดเมล็ดพริกไทยดำให้พอสุก พักไว้

วิธีการคลุกเคล้าส่วนผสม นำลูกเดือยทอดกรอบ + ใบมะกรูดทอดกรอบ + เมล็ดพริกไทยทอดกรอบ + น้ำตาลทราย + เกลือ ใส่ลงในถุงพลาสติกชนิดที่ไม่มีหูหิ้ว ขนาดกว้าง 8 นิ้ว แล้วเขย่าให้ส่วนผสมทั้งหมดเข้ากัน

หากทำในปริมาณมาก ใช้ภาชนะขนาดใหญ่ที่มีฝาปิดแทนถุงได้ จากนั้นนำใส่ภาชนะที่มีฝาปิดมิดชิด พร้อมขาย ซึ่งสามารถเก็บไว้รับประทานได้นาน และเหมาะสำหรับเป็นของรับประทานเล่นของผู้ที่รักสุขภาพ

อ.ชมพูนุชบอก ว่า ตามสูตรนี้หากบรรจุใส่ภาชนะ 25 กรัม จะได้จำนวนประมาณ 14 กระปุก ขายในราคากระปุกละ 20 บาท ก็จะได้ 280 บาท ส่วนต้นทุนวัตถุดิบต่าง ๆ ตกอยู่ที่ประมาณ 170 บาท

นอกจากนี้ อ.ชมพูนุช ยังได้แนะนำเคล็ดลับเพิ่มเติมอีก 2 ประเด็นคือ หากชอบให้รสชาติเคลือบติดอยู่กับผิวลูกเดือย สามารถใช้วิธีการฉาบได้ โดยนำน้ำตาลและเกลือตั้งไฟเคี่ยวให้เหนียวแล้วจึงใส่ลูกเดือยทอดลงไปคลุก เคล้าให้เข้ากัน หรืออาจเปลี่ยนจากน้ำตาลและเกลือเป็นเนยหรือช็อกโกแลตได้

รวม ถึง สามารถเปลี่ยนรสชาติด้วยผงปรุงรสสำเร็จรูปได้หลากหลาย เช่น รสต้มยำ, รสพิซซ่า, บาร์บิคิว โดยรสชาติเหล่านี้การจะใช้ก็ไม่ยุ่งยาก เพราะมีผงปรุงรสสำเร็จรูปขาย ส่วนแต่ละรสจะใช้ปริมาณมากน้อยเท่าไร ก็กะดูว่าต้องการให้ลูกเดือยมีรสชาติจัดจ้านเพียงใด

ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเป็นรสต้มยำ ในปริมาณวัตถุดิบข้างต้นนั้น ควรจะใช้ผง ปรุงรสต้มยำประมาณ 25 กรัม ซึ่งก็เป็นการใช้แทนเกลือป่น และน้ำตาลทรายขาว

สนใจเรื่อง “ลูกเดือยทอดกรอบสมุนไพร” ต้องการติดต่อ อ.ชมพูนุช เผื่อนพิภพ ก็ไปได้ที่คณะเทคโนโลยีคหกรรมศาสตร์ มทร.พระนคร หรือ โทร. 0-2281-9231-4 ต่อ 1201-3

บางทีนี่อาจจะเป็น “ช่องทางทำกิน” ที่ดีสำหรับคุณ.

สุภา รัตน์ ยอดศิริวิชัยกุล http://www.dailynews.co.th

‘เลี้ยง ผึ้งจิ๋ว’ ไม่ยาก ไม่ง่าย ทำเงินได้ดี

ต้นทุนต่ำ-ขายได้ราคา สูง

“ผึ้งจิ๋ว” เป็นผึ้งพื้นเมืองของไทย ไม่มีเหล็กใน สามารถเพาะเลี้ยงในเชิงเศรษฐกิจได้ ซึ่ง “น้ำผึ้ง” ของผึ้งจิ๋วกำลังได้รับความนิยมในต่างประเทศ โดยเฉพาะตลาดญี่ปุ่น เนื่องจากน้ำผึ้งมีคุณภาพดี มีคุณค่าทางอาหารและมีสรรพคุณทางยาสูง และวันนี้ทีม “ช่องทางทำกิน” ก็มีข้อมูลมาให้พิจารณา...

วิสิทธิ์ ธนูอาจ เกษตรกรสวนผลไม้ ประธานกลุ่มวิสาหกิจชุมชนภูมิปัญญาท้องถิ่นคนจันทบุรี ต.วังแซม อ.มะขาม จ.จันทบุรี วัย 47 ปี เป็นผู้หนึ่งที่เพาะเลี้ยงผึ้งจิ๋ว โดยเขาเล่าว่า ก่อนหน้านี้ทำการเกษตรอย่างหลงทางไปมากเพราะมุ่งแต่พึ่งยาฆ่าแมลงจนมีหนี้ ท่วมตัว ต้องเลิกอาชีพเกษตรกรหันไปรับจ้างเป็นพนักงานขับรถ แต่แล้วก็เคราะห์ซ้ำเมื่อเกิดตาบอดไปข้างหนึ่งเพราะตัดหญ้าแล้วเศษไม้ กระเด็นเข้าตา จนต้องเลิกอาชีพขับรถ ไปเป็นลูกจ้างรายวัน ซึ่งรายได้ก็ไม่เพียงพอเลี้ยงครอบครัวที่มีลูก 2 คน จนวันหนึ่งวันฟ้าใสก็บังเกิด เมื่อได้เข้าร่วมโครงการต้นกล้าอาชีพ รุ่นที่ 1 ได้พบกับ รศ.ดร.สำนึก บุญเกิด อาจารย์ประจำสาขาเทคโนโลยีการเกษตร มหาวิทยาลัยรามคำแหง ซึ่งได้สอนวิชาเลี้ยง “ผึ้งจิ๋ว” ผลิต “น้ำผึ้งอินทรีย์” ที่เรียกว่า “ชันโรง” ให้

ทำให้รู้ถึงวิธีการ เลี้ยงที่ถูกต้องทุกกระบวนการ และสามารถนำมาต่อยอดให้ความรู้กับภรรยาและลูก ๆ จนยึดเป็นอุตสาหกรรมครัวเรือน จนทำให้สามารถขายพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ รวมถึงส่วนต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นน้ำชันโรง ซึ่งเป็นผลิตผลส่วนต้นที่นำไปพัฒนาเป็นน้ำผึ้งชันโรง 100% เพื่อวางขาย ส่งขายให้อาจารย์มหาวิทยาลัย และทั่ว ๆ ไป รวมถึงการออกร้านเคลื่อนที่ในงานเทศกาล ต่าง ๆ โดยขายได้ในราคา 500 บาทต่อ 1 ขวดกลม

วิสิทธิ์บอกอีกว่า นอกจากนี้เขายังได้รับการเชิญจากมหาวิทยาลัยรามคำแหงให้ไปเป็นวิทยากรผู้ อบรมการเลี้ยงผึ้งจิ๋วแก่ต้นกล้าอาชีพรุ่นน้อง รวมถึงหน่วยราชการต่าง ๆ จนปัจจุบันนี้เขามีรายได้แบบก้าวกระโดดขึ้นมาเฉลี่ยเดือนละไม่ต่ำกว่า 15,000-20,000 บาท ซึ่งต้องขอขอบคุณบุคคลและโครงการที่ได้ให้โอกาส

สำหรับ ขั้นตอนการเพาะเลี้ยงผึ้งจิ๋วหรือชันโรง หลัก ๆ มี 2 ขั้นตอนคือ ขั้นตอนการย้ายรัง และ ขั้นตอนการแยกรัง ซึ่งการย้ายรังหมายถึงการผ่ารังผึ้งจิ๋วที่ทำรังในธรรมชาติ แล้วย้ายประชากรผึ้งจิ๋วทั้งหมดลงในรังเลี้ยง ซึ่งรังดังกล่าวนี้ต้องมีสภาพมั่นคงแข็งแรง ปลอดภัย ไม่แออัด มีสุขอนามัยที่ดี และสามารถขนย้ายรังได้สะดวก สามารถจัดการดูแลช่วยเหลือผึ้งจิ๋วได้ ส่วนการแยกรังผึ้งจิ๋วหมายถึงการแบ่งประชากรผึ้งจิ๋วในรังเลี้ยงจาก 1 รัง เป็น 2 รัง หรือ 3 รัง ขึ้นอยู่กับสภาพความสมบูรณ์ของผึ้งจิ๋วที่จะแยก

การ เคลื่อนย้ายรังธรรมชาติ นำมาตั้งไว้ใกล้บริเวณที่จะผ่ารัง ก่อนผ่าต้องประเมินประชากรผึ้งจิ๋ว และการย้ายรังธรรมชาติจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่งต้องรักษาระดับแนวดิ่งของรัง เนื่องจากไข่จะถูกวางไว้บนอาหารเหลวภายในเซลล์ บางเซลล์ไข่ฟักเป็นตัวอ่อนแล้วกินอาหารภายในเซลล์ยังไม่หมด อาจจะถูกอาหารหมกตายขณะขนย้าย เพราะเซลล์จะเอียงไป-มา ตรงจุดนี้ต้องระวังเป็นพิเศษ

ในส่วนของรังเลี้ยงผึ้งจิ๋ว ขนาดต้องมีความจุประมาณ 7 ลิตร ทำด้วยไม้กระดาน หรือเศษไม้แปร หรือไม้นิ้วก็ได้ ต่อกันให้สนิท แต่ไม่ต้องใช้เทคนิคบังใบ ความกว้างประมาณ 20 ซม. ยาว 30 ซม. สูง 12 ซม. ด้านบนหรือฝารังเป็นแผ่นกระจกหรือพลาสติกใส เปิด-ปิดได้ ด้านหน้ารังเจาะรูเหนือพื้นขึ้นมาเล็กน้อยกันน้ำไหลเข้ารัง หน้ารังมีพื้นชานชาลาเล็กน้อยสำหรับให้อาหาร ให้ผึ้งจิ๋วพัก และเพื่อความสะดวกในการบินเข้า-ออก

ก่อนผ่ารัง ยกรังจากตำแหน่งเดิม ให้รักษาระดับ เอารังเลี้ยงที่เตรียมไว้ตั้งแทนที่รังเดิม เตรียมขวดเหล้าเพื่อนำไปดักที่รูเข้า-ออก ให้ผึ้งบินเข้าไปอยู่ในขวดด้วยการเคาะรัง พอกระเทือนผึ้งจิ๋วที่บินได้จะบินเข้าไปอยู่ในขวด ปิดปากขวดนำไปเก็บไว้ในที่เย็น ๆ ไม่ร้อน จากนั้นลงมือผ่ารัง ซึ่งต้องระวังอย่าให้กลุ่มไข่ ตัวอ่อน และดักแด้ เสียหายมากนัก เมื่อรังถูกเปิดออก นำของเหลวไปป้ายที่หน้ารังเพื่อดึงดูดให้ผึ้งที่บินหลงเหลืออยู่กลับเข้ารัง เดิม

จากนั้นค่อย ๆ ย้ายกลุ่มไข่ ตัวอ่อน ดักแด้ ใส่ในรังเลี้ยง สำหรับถ้วยอาหาร เช่น เกสรและน้ำผึ้ง ที่ไม่แตก ก็ให้นำไปใส่ในรังเลี้ยงด้วย แต่อย่านำน้ำผึ้งจากถ้วยที่แตกใส่ในรัง เพราะจะทำให้ผึ้งงานติดน้ำผึ้งตาย แล้วต้องพยายามหานางพญาแม่รัง เมื่อพบให้ใช้ช้อนตักเอาเข้าไปไว้ในรัง แต่อย่าใช้มือจับนางพญา

ถ้า สถานที่ผ่ารังกับที่ตั้งรังเดิมอยู่คนละที่ แต่ห่างไม่เกิน 300 เมตร ต้องย้ายรังธรรมชาติไปตั้งเลี้ยงไว้ที่อื่นห่างจากที่ตั้งรังเดิมเกิน 600 เมตร ประมาณ 2 สัปดาห์จึงย้ายกลับมาตั้งในบริเวณที่จะผ่ารัง ให้คุ้นเคยสถานที่ 2-3 วันก่อนจะผ่ารัง ปิดฝารังและหน้ารังทิ้งไว้ 2-3 วัน จึงนำรังเลี้ยงไปตั้งไว้ในที่ที่ให้ผึ้งหากินได้ตามปกติ

สำหรับต้น ทุนในการเพาะเลี้ยงผึ้งจิ๋ว วิสิทธิ์บอกว่า แทบไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายอะไรเลย เพียงแค่มีเศษไม้เก่า ๆ มาทำเป็นรัง และหาพ่อพันธุ์แม่พันธุ์มาไว้ในรังเลี้ยง ซึ่งตามต่างจังหวัดผึ้งจิ๋วจะมีอยู่ทั่วไปตามแหล่งที่มีดอกไม้ โพรงไม้ ขอนไม้ กระบอกไม้ไผ่ โพรงตามบ้านเรือน หรืออาจจะอยู่ตามท่อพีวีซี กล่องกระดาษ ฯลฯ

การเลี้ยง “ผึ้งจิ๋ว” อาจจะไม่ง่ายสำหรับคนที่ไม่คุ้นเคย อย่างไรก็ตาม ถ้าใครที่มีปัญหาเรื่องอาชีพแล้วสนใจอาชีพเลี้ยงผึ้งจิ๋วนี้ ทางโครงการต้นกล้าอาชีพเขามีการอบรมให้ โดยติดต่อได้จนถึง 17 ส.ค. 2552 และอบรมเดือน ก.ย. สอบถามรายละเอียดเพิ่มได้ที่คอลเซ็นเตอร์ โทร.1111 หรือที่คุณวิสิทธิ์ โทร. 08-9097-0137.

เชาวลี ชุมขำ ข้อมูลจาก เดลินิวส์
กระดุม (1) กระเป๋าหนัง (1) กระเพาะปลาน้ำแดง (1) กระยาสารท (1) กับข้าวถุง (1) กาแฟชัก (1) การประกอบอาชีพอิสระ (1) การเพาะ เห็ด (1) ขนมเค้ก (1) ขนมโบราณทำเงิน (1) ขนมเปี๊ยะ (1) ขนมเปี๊ยะอบเทียน (2) ขยะ ลวด (1) ของฝาก (1) ขาย (1) ขายคล่อง (2) ขายความสนุก (1) ขายน้ำผลไม้ ปั่น (1) ขายปลาทูนึ่ง (1) ขายไอเดีย (1) ข้าวซอย (1) คลับแอสทีเรีย (1) เครื่องดื่ม (2) โคมไฟดินหอม (1) งาน (2) งานขายไอเดียราคาดี (1) งานประดิษฐ์ (2) งานผ่าน เน็ต (1) งานไม้ (1) งานเสริม (1) จ๊อปลาทู (1) จากดินญี่ปุ่น (1) ซองใส่มือถือ (1) ซาลาเปา (1) ซีฟู้ดกระทะ (1) โดนัทเค้ก (1) ติดตู้เย็น (1) ติดเสื้อ (1) ตุ๊กตา ถุงเท้า (1) ตุ๊กตาไทย (1) ตุ๊กตาไม้โย โย่-ล้มลุก (1) ตุ๊กตาโยโย่ (1) ตู้(เรือ)ปลา (1) ถักทอจินตนาการ (1) ถั่วแดงเย็น (1) ทองพับ (1) ทอลูกปัด (1) ทับทิม กรอบรวมมิตร (1) ทำธุรกิจอะไรดีจึงจะรวย (1) ทำไม่ยาก (1) ทำเองได้ (1) ที่ติดตู้ เย็น (1) ทุนต่ำ (1) เทียนหอมกัน ยุง (1) ธุรกิจแฟรนไชส์ (1) น่ารักๆ (1) น้ำ เงี้ยว (1) น้ำบ๊วย (1) บะหมี่-เกี๊ยว (1) บีบี (1) บุฟเฟ่ต์ (1) เบเกอรี่ (1) ประดิษฐ์ ดอกไม้ (1) ปาท๋องโก๋เกลียว (1) เป็นอาชีพเสริม (2) แปรรูปผลไม้ (1) ผีเสื้อ ใบยาง (1) พลิกแพลง (1) พวงมาลัยสบู่ (1) เพนท์สี (1) เพื่อสุขภาพ (1) มนุษย์ เงินเดือนมืออาชีพ (1) มีสูตรเด็ดขายที่ไหนก็รวย (1) แมงมุม (1) ย้อมผ้าแบบญี่ปุ่น (1) ยาโมโน ซาชิ (1) ยำทรงเครื่อง (1) รวย (1) รอง เท้านินจา (1) ราคาดี (2) รายได้ (1) รายได้พิเศษ (2) รายได้สวย สร้างรายได้ (4) รายได้เสริม (4) โรตีสไตล์พิซซ่า (1) ลองกอง (1) ลูกเดือยทอดกรอบ (1) ลูกหยีกวน (1) เลี้ยง ผึ้งจิ๋ว (1) วันแม่ (1) สมุนไพรทำเงิน (1) สร้างรายได้ (23) สร้างเลียนแบบ (1) สร้างอาชีพ (11) สินค้าแปรรูป (2) สูตรปักษ์ใต้ (1) ไส้แกง (1) หน้ากากบีบี (1) อาชีพ (1) อาชีพเสริม (29) อาชีพอิสระ (4) อาหารก๊อปปี้ (1) ไอเดียเก๋ไก๋ (1) ไอเดียแปลก (1) ไอศครีมทุเรียน (1) Happy Cake (1)

ผู้ติดตาม

..