วันอาทิตย์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2553

กระดุม แมงมุม ติดเสื้อ...ติดตู้เย็นเก๋ซ่ะ...

วันนี้เรามาเพิ่มความสดใสให้กับบ้านกับเครื่องแต่งกายของเรากันให้ดูน่ารัก กุ๊กกิ๊กกันบ้างดีกว่า อย่าเพิ่งงงกับสิ่งที่เราบอกว่า เพิ่มความสดใสให้กับเสื้อผ้าและบ้านคุณ เพราะเจ้ากระดุมน้อยนี่สามารถแปลงร่างกลายเป็นกระดุมติดเสื้อ หรือแปลงร่างอีกรอบกลายเป็นกระดุม ติดตู้เย็น อ๊ะๆอย่า งง เป็นรอบที่ 2 ไปดูวีทำกันด่อนดีกว่า...ลุย

อุปกรณ์ที่ใช้ก็ หาซื้อได้ตามห้างร้านทั่วไป
- กระดุมจำนวนตามต้องการ
- โดเค็ม ที่ทำเตรียมไว้แล้ว หรือดินน้ำมันสีเขียว ดำ ขาว
- วานิชหรือสเปรย์เคลือบเงา
- แปรงทาสี
- มีดคมๆ
- ไม้นวดแป้ง


วิธี ทำลองทำตามขั้นตอนและดูภาพประกอบ

1. นำดินน้ำมันมารีดเป็นแผ่นบางๆแล้วตัดออกเป็นรูปวงกลมให้กว้างพอสำหรับที่จะ นำมาห่อกระดุมที่เตรียมไว้ จากนั้นจัดการนำดินน้ำมันที่ตัดแล้วห่อกระดุมโดยให้ขอบของดินไปจรดอยู่ด้าน หลังกระดุม พยายามรีดให้ดูเรียบร้อยที่สุด

2. ใช้ดินสีดำที่เตรียมไว้แล้วมารีดเป็นเส้นบางๆไว้สำหรับทำขาแมงมุม เสร็จแล้ววางเรียงลงบนผิวหน้าดินน้ำมัน

3. นำดินสีดำปั้นเป็นรูปวงกลมแล้วกดลงตรงกลางเพื่อทำเป็นตัวแมงมุม

4. นำดินสีขาวมาปั้นเป็นรูปวงกลมขนาดเล็กเพื่อทำเป็นตาขาว และสีดำปั้นเป็นรูปวงกลมที่เล็กกว่าเพื่อทำเป็นตาดำ ติดลงบนตัวแมงมุม อาจใช้แม่เหล็กติดด้านหลังใช้สำหรับติดตู้เย็นก็ได้

ขอ ขอบคุณบทความดี ๆ ทางอาชีพ

แหล่งที่มา : http://cityvariety.com/idea/?id=26

การประกอบอาชีพอิสระดีอย่างไร

การประกอบอาชีพอิสระ ดีอย่างไร
1. เป็นเจ้านายตนเอง ใช้ความรู้ความสามารถได้อย่างเต็มที่
2. กำหนดการทำงานเอง
3. รับผิดชอบกิจการเองทั้งหมด
4. สามารถตัดสินใจเรื่องต่าง ๆ อย่างเต็มที่
5. รายได้ไม่จำกัด

คุณสมบัติของการเป็นผู้ประกอบอาชีพอิสระ
1. กล้าเสี่ยง อาชีพอิสระเป็นการประกอบธุรกิจส่วนตัว
จึงต้อง มีการลงทุน ในขณะที่ตัวเป็นลูกจ้าง ไม่ต้องลงทุนอะไร
ซึ่งการลงทุน ย่อมมีความเสี่ยง เพราะไม่รู้ว่าผลลัพท์จะออกมา
อย่างไร ดังนั้น ก่อนที่จะตกลงใจประกอบ อาชีพใด จึงต้อง
พิจารณา วิเคราะห์ และไตร่ตรองอย่างดีเสียก่อน
2. มีความคิดสร้างสรรค์
การประกอบอาชีพอิสระมิ ได้ยึดติดกับรูปแบบ
ใด ๆ เนื่องจากผู้ประกอบอาชีพอิสระต้องเป็นนายของตนเอง
ฉะนั้นในการ ปรับปรุงสินค้าหรือบริการ สามารถทำได้อย่างมีอิสระ
เพื่อให้ได้มาซึ่งกำไร ในการดำเนินธุรกิจ
3. มีความเชื่อมั่นในตนเอง
ธุรกิจ แต่ละประเภทต้องการ การตัดสินใจที่แตกต่างกัน
ผู้ประกอบอาชีพอิสระจึง ต้องเป็นผู้ที่มีความเชื่อมั่นในตนเอง
ในภาวะการณ์ที่ตลาดมีการ เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
ธุรกิจบางประเภท สามารถสวนกระแสเศรษฐกิจโดยรวมได้ ดังนั้น
ผู้ประกอบอาชีพอาชีพ อิสระจึงต้องมีความมั่นใจ เพื่อจะได้พา
ธุรกิจของตนให้ผ่านพ้น อุปสรรคต่าง ๆ ได้
4. อดทน ไม่ท้อถอย
การประกอบ อาชีพทุกอย่างย่อมมีทั้งกำไร และ ขาดทุน โดยเฉพาะ
เมื่อเริ่มประกอบการ ใหม่ ๆ จะต้องประสบปัญหาและอุปสรรคบ้าง
ซึ่งถือว่าเป็นเรื่อง ธรรมดา ผู้ประกอบอาชีพจึงต้องพร้อมที่จะ
รับข้อผิดพลาด และนำมาแก้ไขด้วยความอดทน
5. มีวินัยในตนเอง การประสบความสำเร็จในอาชีพ ซึ่งเราเป็นเจ้าของ
กิจการเอง จำเป็นจะต้องมีวินัย มีกฎระเบียบการทำงานต้องสม่ำเสมอ
ถ้าขาดวินัย การประกอบอาชีพก็อาจไม่ประสบผลสำเร็จ การเป็น
ผู้มีวินัย นับเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้ประกอบอาชีพทุกประเภทเพราะ
วินัยจะเป็น สิ่งที่คอยกำหนดให็ผู้ประกอบการปฏิบัติงานตามแผนงาน
6. มีทัศนคติที่ดีต่ออาชีพ
ไม่ว่างานนั้นจะเป็นงาน ที่มีเกียรติหรือไม่ผู้ประกอบอาชีพอิสระจะต้อง
รักในงานที่ทำ และให้เกียรติกับงานนั้น ๆ เสมอ
7. มีความรู้ การประกอบอาชีพอิสระ
จะต้องรับรู้ข่าวสารอยู่ เสมอ เพื่อปรับตัวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง
ของโลกซึ่งเปลี่ยนแปลง ไปเร็วมาก ประโยชน์ของการรับรู้ข่าวสารจะ
ทำให้สามารถปรับปรุง ธุรกิจของตนเองให้ทันสมัยอยู่ตลอดเวลา
ผลที่ได้ก็คือกำไร
8. มีมนุษย์สัมพันธ์
การประกอบอาชีพอิสระจะ ต้องมีมนุษยสัมพันธ์อันดีเพื่อผลประโยชน์
ในธุรกิจของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นลูกค้า บุคคลรอบข้างหรือคู่แข่งขัน
ก็ตาม เพราะการมีมนุษย์สัมพันธ์อันดี จะทำให้มีความคล่องตัว
ในการดำเนิน งานเป็นอย่างดี
9. มีความซื่อสัตย์
ผู้ ประกอบอาชีพอิสระจะต้องมีความซื่อสัตย์และจริงใจต่อลูกค้า
การ บริการลูกค้าให้เกิดความประทับใจในการขายสินค้าหรือ
บริการและกลับมาใช้ บริการอีกเป็นหัวใจสูงสุด เพื่อผลประโยชน์
ต่อธุรกิจ และต่อตนเองในที่สุด
10. มีความรู้พื้นฐานในการเริ่มทำธุรกิจ
การที่จะทำอะไรสักอย่างหนึ่งเราควรได้รู้จักสิ่งที่จะทำ อย่างน้อย
ให้รู้ว่าทำจากอะไร ซื้อวัตถุดิบ จากไหนตลาดอยู่แหล่งใดและหาก
ต้องการทราบข้อมูล

ปัจจัยหลักของการ ประกอบอาชีพ
ปัจจัยของการเริ่มต้นประกอบอาชีพอิสระ คือ จะทำอาชีพอะไร
ต้องรู้อะไรต้องเตรียมตัวอย่างไร ดังนั้น ควรคำนึงถึงปัจจัยหลัก
ที่สำคัญก่อนเริ่มการ ประกอบอาชีพอิสระ
ปัจจัยแรก = คือทุน
ทุนคือสิ่ง ที่จะเป็นปัจจัยพื้นที่ของการประกอบอาชีพ
โดยจะต้องวางแผนแนวทาง การดำเนินธุรกิจไว้ล่วงหน้าเพื่อให้
ทราบว่าจะต้องใช้เงินทุน ประมาณเท่าไร แล้วพิจารณาว่า
มีเงินทุนเพียงพอหรือไม่ ถ้าไม่พอจะหาแหล่งเงินทุนจากที่ใด
อาจได้จากการรวมหุ้นลง ทุนกันในหมู่ญาติพี่น้อง และเพื่อนฝูง
หรือการกู้ยืมจากหน่วย ราชการ หรือสถาบัน การเงินต่าง ๆ
อย่างไรก็ตามในระยะแรก ไม่ควรลงทุนมากเกินไปเนื่องจาก
ยังไม่ทราบความต้องการ ของตลาดที่แท้จริง
ปัจจัยที่สอง = คือความรู้
หมายถึง ความรู้ในงานอาชีพที่จะมาประกอบอาชีพหากไม่ต้อง
ศึกษาและฝึกฝนขวนขวายหา ความรู้ โดยการเรียนจากสถาบัน
ที่ให้ความรู้ด้านอาชีพ ซึ่งมีทั้งของรัฐบาล และเอกชน หรือสมัคร
เรียนกับชมรมต่าง ๆ หรือทำงานเป็นลูกจ้างคนอื่น หรือทดลอง
ปฏิบัติด้วย ตนเอง เพื่อให้มีความรู้ เกิดทักษะ ความชำนาญ
และประสบการณ์ในการ ประกอบอาชีพนั้น ๆ
ปัจจัยที่สาม = คือการจัดการ
เป็น ความสามารถในการบริหารงานของแต่ละบุคคลในการ
จัดการเกี่ยวกับอาชีพ ของตนเอง เป็นสถานที่เกี่ยวข้องกับการ
วางแผน การทำงานในเรื่องคน เงิน เครื่องมือ เครื่องใช้ และ
กระบวนการทำ งานต่าง ๆ
ปัจจัยที่สี่ = คือการตลาด
ซึ่งเป็น ปัจจัยที่สำคัญอีกปัจจัยหนึ่ง เพราะ หากสินต้าและบริการ
ที่ผลิต ขึ้นไม่เป็นที่ติดหู ติดตาของผู้บริโภค ก็ถือว่ากระบวนการ
ทั้ง ระบบไม่ประสบผลสำเร็จ เนื่องจากไม่สามารถแปรสินค้า
และบริการเหล่านั้นให้ เป็นตัวเงินได้ ดังนั้นการวางแผนการตลาด
ซึ่งใน ปัจจุบันมีการแข่งขันสูง จึงควรได้รับการสนใจในการพัฒนา
เทคนิคด้าน ต่าง ๆ ให้ทันสมัย เพื่อให้เป็นที่สนใจของกลุ่มเป้าหมาย
ที่มา จากกรมการพํฒนากระทรวงมหาดไทย http://www.cdd.moi.go.th/Mahadthai/Work1.html

ตุ๊กตาไทย

ประวัติความเป็น มา

เดิมไม่ได้ประดิษฐ์ขึ้นสำหรับให้เด็กเล่น แต่มุ่งหมายจะใช้ในพิธีฝังศพ หรือบรรจุในสถานที่ที่ศักดิ์สิทธิ์ตามความเชื่อ ต่อมามีคนไปขุดพบจึงนำรูปปั้นกลับบ้านเพื่อมาฝากเด็ก เมื่อเด็กชอบ ผู้ใหญ่จึงทำขึ้นเพื่อให้เด็กได้เล่น จึงทำให้มีตุ๊กตาเกิดขึ้น

ประโยชน์ของ ตุ๊กตา

1. ใช้เป็นอุปกรณ์การศึกษาวิชาต่าง ๆ ได้หลายวิชา ไม่ว่าจะเป็นสังคมศึกษา วรรณคดีไทย นาฏศิลป์ไทย

2. ใช้ประกอบการจัดนิทรรศการในโอกาสต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับเมืองไทย

3. การสะสมตุ๊กตาไว้ชม นับว่าเป็นงานอดิเรกที่ให้ทั้งความรู้และความเพลิดเพลิน

4. ให้ความรู้ในด้านชีวิตความเป็นอยู่ของคนไทยในอดีตด้วยเช่นตุ๊กตาชาววัง

5. เป็นสื่อสำคัญในการเผยแพร่เกียรติภูมิและวัฒนธรรมไทยไปสู่ต่างแดน

6. ใช้เป็นของที่ระลึก

วัสดุอุปกรณ์

เช่น เครื่องปั้นดินเผา กระดาษ ไม้ระกำ ต้นนุ่นตายซาก กะลามะพร้าว ใบลาน เปลือกหอย ไม้แกะหรือกลึง แก้ว หญ้าปล้อง ผ้าเช็ดหน้า สำลีพันพลู เปลือกข้าวโพด เป็นต้น

ขั้น ตอนการทำตุ๊กตา

แต่ละชนิดแต่ละประเภทจะคล้ายคลึงกัน ซึ่งเจ้าของหรือศิลปินผู้ที่ปั้นตุ๊กตาจะไม่ค่อยเปิดเผยสูตรมากนัก จะบอกแต่ขั้นตอนพื้นฐานเท่านั้น..ซึ่งจะขอยกตัวอย่างสัก 2 แบบ คือ ตุ๊กตาสำหรับเด็กเล่นที่ทำด้วยกระดาษ กับตุ๊กตาชาววัง

1. เริ่มด้วยการปั้นหุ่นด้วยดินเหนียว โดยเริ่มจากการปั้นขาตุ๊กตาก่อน แล้วจึงขึ้นตัว ส่วนตัวนั้นมีพิมพ์กดเอาไว้

2. เสร็จแล้วนำดินไปผึ่งให้แห้ง ต้องระวังไม่ให้ถูกแดดจัด เพราะดินจะร้าวได้

3. นำไปเผาในเตาถ่านสุมไว้ตลอดคืน เพื่อให้ตุ๊กตาเย็นสนิท

4. นำมาลงสีผิวโดยใช้ฝุ่นผัดหน้าที่เรียกว่าฝุ่นจีน มาละลายน้ำจนข้น

5. แต่งหน้า ทาปาก เขียนเสื้อผ้าโดยใช้สีตามความนิยมของชาววัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเสื้อผ้าของผู้ใหญ่ ผู้หญิงจะต้องนุ่งห่มสีตัดกันตามวัน เช่น

- วันอาทิตย์ นุ่งแดงห่มเขียวหรือจะกลับกันก็ได้

- วันจันทร์ นุ่งม่วงหรือน้ำเงินห่มเหลือง วันอังคาร นุ่งชมพูห่มน้ำเงินหรือกลับกัน

- วัน พุธ นุ่งน้ำเงินห่มสไบเขียว

- วันพฤหัสบดี นุ่งน้ำเงินห่มแสดหรือกลับกัน

- วันศุกร์ นุ่งน้ำเงินห่มชมพูหรือบานเย็นคล้ายวันอังคาร

- วันเสาร์ ห่มสีม่วงนุ่งสีเหล็กหรือเทาแก่

ขอขอบคุณบทความดีๆทางอาชีพ

แหล่งที่มา : http://thaidoll0.tripod.com/history.html

ประดิษฐ์ ดอกไม้ จากดินญี่ปุ่น เหมือนของจริงมาก


เงินลงทุน ประมาณ 1,000 บาท (รวมวัสดุและอุปกรณ์แล้ว)

รายได้ ชิ้นละ 30 บาทขึ้นไป (ขึ้นอยู่กับขนาด จำนวนดอกและภาชนะที่ใส่)

วัสดุ/อุปกรณ์ ดินญี่ปุ่น (1 ก้อน = 250 กรัม ทำได้ประมาณ 30 ดอก) แบบพิมพ์ใบและดอก

สี น้ำมัน (สีเหลือง สีเขียว และสีชมพู) เหล็กกลึง ลวด กรรไกรปลายแหลม

กาว ลาเท็กซ์ใส กระถาง หญ้าแห้ง เครื่องรีดหรือขวด แผ่นกระจกใส

แหล่ง จำหน่ายวัสดุ/อุปกรณ์ ตลาดนัดสวนจตุจักร

วิธีทำดอกแคทลียา 1. นำดินญี่ปุ่นผสมสีเหลืองสำหรับทำดอก และสีเขียวสำหรับทำใบ นวดให้

เข้า กัน แล้วนำเข้าเครื่องรีดเพื่อให้เป็นแผ่นบาง (ใช้ขวดทรงกลมแทนได้

โดย วางดินบนแผ่นกระจกแล้วใช้ขวดนวดจนบาง)

2. นำพิมพ์ดอกและพิมพ์ใบมาปั้มบนดินที่รีดแล้วให้เกิดรูป กดแบบพิมพ์ลงไป

จาก นั้นแกะส่วนของดินที่ไม่ใช้ออก (ปั้นใส่ถุงพลาสติกเก็บไว้ใช้ได้)

3. นำส่วนของกลีบดอกมาขลิบด้วยกรรไกรปลายแหลมให้เกิดร่องเล็ก ๆ

4. นำเหล็กคลึงกดเบา ๆ เพื่อคลี่รอยขลิบให้เป็นร่องเล็ก ๆ

5. นำดินสีขาวมาปั้นเป็นเม็ดกลมเล็กที่ปลายของลวด แล้วนำไปสอดไว้ตรงกลาง

ของกลีบดอก ใน เพื่อทำเป็นเกสร

6. เมื่อทำกลีบดอกทั้งหมดตามจำนวนดอกที่ต้องการแล้ว นำกลีบมาเชื่อมติดด้วย

กาว ลาเท็กซ์ จากนั้นใช้สีชมพูแต้มตรงกลีบให้เหมือนสีดอกธรรมชาติ

7. นำใบที่พิมพ์แบบไว้มาเชื่อมติดกับลวด จากนั้นประกอบดอกและใบเข้าด้วยกัน

จะ ได้ต้นแคทลียา 1 ต้น

8. ทำส่วนของใบที่จะใช้ตกแต่งเพิ่มเตรียมไว้ แล้วใช้ดินญี่ปุ่นสีเขียวพันกับลวด

และใช้ดินสีเขียวอ่อนพันทับอีก ชั้นเพื่อทำเป็นรากแคทลียา

9. ตัดโฟมตามรูปกระถางแล้วนำโฟมใส่ลงในกระถาง จากนั้นนำดอกที่ประกอบ

เสร็จ แล้วปักลงในกระถางพร้อมด้วยใบและราก และตกแต่งให้สวยงามโดย

แซมด้าน บนด้วยหญ้าแห้งหรือกากมะพร้าว

ตลาด/แหล่งจำหน่าย ห้างสรรพสินค้า ออกร้านตามงานต่าง ๆ

ข้อเสนอแนะ 1. จะต้องสร้างสรรค์งานใหม่ ๆ ซึ่งสามารถขายในช่วงเทศกาลสำคัญ เช่น

ดอกมะลิ (วันแม่) ดอกกุหลาบแดง (วันแห่งความรัก) ดอกทิวลิป ดอกบัว

ดอกกล้วยไม้ประเภทอื่น ๆ ได้แก่ ช้างแดง ช้างกระ เป็นต้น

2. สามารถปรับเป็นส่วนประกอบในการผลิตผลิตภัณฑ์อื่น เช่น ที่ติดตู้เย็น

ต้นไม้ จิ๋ว
ขอบคุณที่มาของบทความ อาชีพเสริม http://lib-krabi.tripod.com/income/p7.htm

"มนุษย์ เงินเดือนมืออาชีพ"


อ่านพบข้อเตือนใจสำหรับ "มนุษย์เงินเดือนมืออาชีพ" ซึ่งเตือนใจไว้หลายประเด็นต่างๆ แต่ผมพยายามเลือกตัดตอนออกมาเพียง 30 ข้อ (ที่ผมสนใจ)เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันครับ


1. มีสังคมกว้าง ทันโลกทันเหตุการณ์
2.จงภูมิใจกับสิ่งที่ท่านเป็นอยู่ มีอยู่ ได้อยู่มากกว่าถามหาสิ่งที่ยังไม่เป็น ยังไม่มี หรือยังไม่ได้
3. ต้องปรับอารมณ์ให้เข้ากับบทบาทของงานในตำแหน่งที่ได้รับมอบหมาย
4. ต้องคิดว่า "ทุกครั้งที่ทำเต็มที่ เราได้มากกว่าองค์กร"
5.ต้องไม่เอาผล ตอบแทนเป็นตัวนำ เพราะจะทำให้บทบาทการแสดงเปลี่ยนไป
6. เรียนลัดจากคนเก่าและเอกสาร
7.อย่าคบคนเพียงกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเพียงกลุ่ม เดียว
8. เข้าร่วมกิจกรรมให้มากที่สุด
9.อย่าเพิ่งแสดงความคิดเห็นใน เชิงลบ
10. คิดเข้าข้างตัวเอง
11.คิดถึงสิ่งที่แย่กว่า
12.การคิด บวกถือเป็นพื้นฐานที่สำคัญสำหรับคนที่อยากจะเป็น "มนุษย์เงินเดือนมืออาชีพ" คนคิดลบเปรียบเสมือนถังขยะที่เก็บแต่สิ่ง ที่ไร้ค่าในขณะที่ …คนคิดบวกเปรียบเสมือนคลังสมบัติที่เก็บแต่สิ่งที่ล้ำค่า จงทำงานให้มากกว่าเงินเดือน
13. ทำมาก...ได้ประสบการณ์มาก ทำมาก... ได้สร้างผลงานให้ปรากฏ ทำมาก…มีโอกาสเป็นบุคคลสำคัญขององค์กรมาก ทำมาก...สบายในภายหลัง
14. ปัจจัยภายใน คือความพร้อมของตัวเราเอง
15. คิดและเตรียมสิ่งใหม่ๆ ไว้ล่วงหน้า
16.มองไปข้างหน้าให้มากกว่ายึดอยู่ กับอดีตและติดอยู่กับปัจจุบัน
17. คิดเสียว่าไม่มีใครอยู่กับเราตลอดชีวิต
18.ความเจ็บปวดช่วยสร้างคุณค่า ของการมีชีวิตเป็นปกติฉันใดการขัดแย้งกันบ้าง จะช่วยสร้างคุณค่าของความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันฉันนั้น
19.ลด ละ เลิก ค่านิยม "ใช้ก่อนผ่อนทีหลัง"
20.วางแผนการเก็บเงิน โดยใช้เทคนิคง่ายๆ คือ "หลัก 3 บัญชี" คือให้เปิดบัญชี 3 บัญชี ดังนี้ ****
บัญชีที่ 1 คือบัญชีที่เงินเดือนเข้าไว้กดเอทีเอ็มสำหรับค่าใช้จ่ายแต่ละเดือน
บัญชี ที่ 2 คือบัญชีเงินออมเพื่อฉุกเฉิน เร่งด่วน(อาจจะเป็นออมทรัพย์ก็ได้)
บัญชี ที่ 3 คือบัญชีเงินออมเพื่อออกจากงานหรือออมเพื่ออนาคต


21.ไม่ มีความทุกข์ใดจะหนักและหนาเท่ากับการผ่อนหนี้ที่ก่อขึ้นมาจากความโลภและไม่ ประมาณตนเอง
22. จงพอใจในผลประโยชน์ที่ได้รับ
23. จงคิดว่าถ้าบริษัทเป็นของเรา เราจะทำหรือไม่
24.จงชมตัวเองทุกครั้งที่ รักษาจรรยาบรรณไว้ได้
25. จงสอนตัวเองโดยผ่านการสอนคนอื่น
26.อย่า เห็นแก่ประโยชน์แม้เพียงเล็กน้อย
27.อย่าทำเพราะคนอื่นเขาทำกัน
28.อย่า คิดว่าทำแล้วไม่มีใครรู้ใครเห็น
29. เปลี่ยนปัญหาให้เป็นความท้าทาย
30.อย่า เปิดช่องว่างให้ความเบื่อเข้ามาแทรก อย่าระบายอารมณ์ลงที่งานและคนอื่น

ขอ เพิ่มเติมข้อเตือนใจพิเศษสำหรับคนวัยใกล้เกษียณอย่างผม ที่เขามีข้อเตือนใจว่า
จำนวนวันทั้งหมด ตั้งแต่อายุ 56 (หลังเกษียณ) ถึง 80=25 ปีคูณ 365 วัน = 9,125 วัน
ดังนั้นเงินที่จำเป็น ต้องใช้เพื่อประทังชีวิตอยู่ขั้นต่ำเท่ากับ 9,125 คูณ 170 = 1,551,250 บาท เงินจำนวนนี้ยังไม่รวมค่าใช้จ่ายที่สำคัญอื่นๆ เช่น ค่ารถ ค่าซ่อมรถ ค่าผ่อนบ้าน ค่าซ่อมบ้าน ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ ค่าเสื้อผ้า ฯลฯ และที่สำคัญที่สุดคือ ค่ารักษาพยาบาลสำหรับตัวเอง

ไอเดียแปลก ไอศครีมทุเรียน 100%


ไอศกรีม ทุเรียน 100% ทรงไข่ กลยุทธ์การตลาด สู้ภาวะผลไม้ล้น

ปกติ ผลไม้ภาคตะวันออกอยู่ในภาวะล้นตลาดทุกปี ส่วนหนึ่งที่ชาวสวน นักธุรกิจส่งออก พ่อค้า ทำกันมากคือ แช่แข็งแล้วส่งออก แต่สำหรับคุณมรุตแล้ว เขาว่า แค่นั้นคงไม่พอ


งานแสดงอาหารใหญ่ ประจำปี "Thaifex-World of food ASIA 2009" ที่จัดโดยกรมส่งเสริมการส่งออก ร่วมกับหอการค้าไทย และโคโลญ เมสเซส ที่ศูนย์แสดงสินค้าอิมแพค เมืองทองธานี มีบริษัท ผู้ประกอบการ ด้านอุตสาหกรรมอาหารเข้าร่วมมากมาย

บู๊ธแสดง สินค้าบู๊ธหนึ่งที่ได้รับความสนใจค่อนข้างมากจากผู้เข้าร่วมชมงาน ได้แก่ บู๊ธที่วางแสดงสินค้าหน้าตาคล้ายไข่เป็ด ไข่ไก่ แถมยังอยู่ในแผงพลาสติคที่ใส่ไข่เป็ด ไข่ไก่ซะด้วย แต่เมื่อเหลือบมองเข้าไปภายในบู๊ธ กลับมีผลไม้จากภาคตะวันออก ทั้งเงาะ มังคุด ทุเรียน สละ นำมาจัดแสดงด้วย

ถามเจ้าหน้าที่ประจำบู๊ธ ได้ความว่า นี่ไม่ใช่ไข่เป็ด ไข่ไก่ แต่เป็นไอศกรีมทุเรียน มะพร้าว และมะม่วง อ้าว!...เป็นงั้นไป

เมื่อได้ความดังนั้น จึงมีคำถามตามมาอีกมากมาย หนึ่งในคำถามนั้นคือ แล้วจะกินอย่างไร ต้องผ่าออกมาหรือเปล่า มีไอศกรีมอยู่ข้างในใช่หรือไม่

เจ้าหน้าที่ จึงตอบคำถามพร้อมสาธิตให้ดูว่า เพียงแต่ใช้ไม้จิ้มไปที่ไข่ เยื่อพลาสติคบางใสและลอกออกมา กลายเป็นไอศกรีมผลไม้ล้วนๆ และไอศกรีมที่ว่านี้เป็นไอศกรีมผลไม้ 100 เปอร์เซ็นต์ ไม่มีส่วนผสมอื่นใด มีแต่เนื้อผลไม้เท่านั้น

เจ้าของไอเดีย และเจ้าของธุรกิจ คุณมรุต ชโลธร เผยว่า เขาและเครือญาติมีสวนผลไม้อยู่ที่จังหวัดจันทบุรี ทั้งเงาะ มังคุด ทุเรียน สละ ปกติขายทั้งในประเทศ และส่งออกต่างประเทศ รวมทั้งผลิตผลไม้แปรรูปด้วย

"การแปรรูปก็ทำแบบผลไม้แปรรูปทั่วไป บางส่วนก็แช่แข็ง เพราะในแต่ละปีมีผลไม้ออกมามาก ที่นี้ เราก็มองว่าเราจะครีเอท แวลู่ หรือจะสร้างสรรค์ให้มีคุณค่าเพิ่มขึ้นอย่างไร เพราะปัจจุบันนี้ เพียงแต่แอดแวลู่อย่างเดียวไม่พอแล้ว เราก็เริ่มมองไปที่ตัวสินค้าก่อน คำว่า ไอศกรีม เป็นสิ่งที่ทุกคนยอมรับ และเป็นของหวานที่ทุกคนชื่นชอบ ขณะเดียวกัน ก็มีด้านลบต่อสุขภาพ คือน้ำตาลมาก และมีส่วนผสมหลายอย่างที่เป็นสารสังเคราะห์ สรุปก็คือไม่ใช่สินค้าในกลุ่มเพื่อสุขภาพแน่นอน เราก็เลยมองว่า จะทำอย่างไรให้ผลไม้มาอยู่ในรูปของไอศกรีมที่เน้นความเป็นธรรมชาติร้อย เปอร์เซ็นต์"

และนี่คือที่มาของไอศกรีมผลไม้ ที่ทางผู้ประกอบการเน้นว่า เป็นธรรมชาติ 100 เปอร์เซ็นต์ โดยในช่วงต้น ทำออกมา 3 รสชาติ ได้แก่ ทุเรียน มะม่วง และมะพร้าวอ่อน



ผล ไม้ล้นตลาดทุกปี

แค่แช่แข็ง ส่งออก คงไม่พอ

"เราพัฒนาทั้ง 3 ตัวนี้มา ก็เป็นเนื้อผลไม้ล้วนๆ นั่นหมายความว่า เราได้ปฏิวัติวงการไอศกรีมให้เป็นธรรมชาติล้วน"

คุณมรุต บอกอีกว่า ปกติ ผลไม้ภาคตะวันออกอยู่ในภาวะล้นตลาดทุกปี ส่วนหนึ่งที่ชาวสวน นักธุรกิจส่งออก พ่อค้า ทำกันมากคือ แช่แข็งแล้วส่งออก แต่สำหรับคุณมรุตแล้ว เขาว่า แค่นั้นคงไม่พอ

"เราอยู่เมืองจันท์ เราก็อยากจะช่วย แต่คงต้องหาอะไรที่ใหม่ที่สุด สิ่งที่เราได้แล้วคือ ตัวเนื้อไอศกรีมที่ใหม่ เป็นผลไม้ 100 เปอร์เซ็นต์ แต่ถ้าจะมาใส่แพ็กเกจจิ้งเก่าๆ มันก็ไม่เป็นจุดขาย ถ้าคนที่จะทานไอศกรีม จะนึกแค่ อยู่ในโคน ถ้วย หรือตัดกิน หรือทำซอร์ฟเสิร์ฟ เรากลับมองว่าเอ๊ะ ทำอย่างอื่นได้มั้ย จากนั้นก็สร้างกิมมิกว่า ถ้ามันเป็นไข่ล่ะ จะเป็นอย่างไร"

ดังนั้น ไอศกรีมผลไม้ รสทุเรียน มะม่วง และมะพร้าวอ่อน ในรูปไข่เป็ด ไข่ไก่ จึงออกมาด้วยประการฉะนี้ (ถ้าเป็นรสมะม่วงมีสีเหลือง จะคล้ายไข่ไก่มาก)

คุณมรุต เล่าอีกว่า " สำหรับผู้บริโภคเองเดินผ่านมา ก็จะถามว่า อะไรน่ะ ไข่หรือเปล่า บางคนนึกไปถึงไข่ข้าวหรือไข่ที่ผ่านการผสมแล้ว บางคนเดินผ่านไปแล้ววกกลับมา เรียกเพื่อนมาดูด้วยว่าเป็นอะไร ยิ่งถ้าเราบอกว่าเป็นทุเรียน เป็นไอศกรีมทุเรียนร้อยเปอร์เซ็นต์ เค้าก็จะบอกว่า เอ้ย! จริงเหรอ...ไม่น่าเชื่อ...นี่คือกิมมิกทางการตลาดที่เราคิดขึ้นมา นั่นคือ เราจะสร้างประสบการณ์ใหม่ เป็นลักษณะเฉพาะไม่เหมือนใคร ดังที่เราให้สโลแกนไว้ว่า More than just ice-cream With a unique eating experience"

เมื่อจะรับประทานไอศกรีมที่ว่านี้ เพียงแต่เอาไม้จิ้มไปที่ตัวไข่ เยื่อพลาสติคใสก็จะหลุดออกโดยง่าย เจ้าหน้าที่ประจำบู๊ธ อธิบายว่า เป็นอีลาสติก รับเบอร์ (หรือยางที่มีความยืดหยุ่น) เมื่อพลาสติคใสหลุดออกไปแล้ว สิ่งที่ได้คือ ไอศกรีมผลไม้ 100 เปอร์เซ็นต์

"อีลาสติก รับเบอร์นี้ เป็นฟู้ดเกรด คือรับประกันว่าห่อหุ้มอาหารได้ นี่เป็นจุดหนึ่งที่ผู้บริโภคกังวลว่าจะมีอันตรายมั้ย แต่เราส่งตรวจเรียบร้อยแล้ว โดยใช้ระดับมาตรฐานสากลว่าปลอดภัย" คุณมรุต เผย และบอกอีกว่า

"โปรเจ็คต์นี้เริ่มมาตั้งแต่ต้นปีที่แล้ว ใช้เวลาปีกว่าๆ ในการวิจัยและพัฒนา ขณะนี้ ตอนนี้อยู่ในช่วงทำกลยุทธ์ทางการตลาด เรากำลังหาลู่ทางเพื่อส่งออก และดูว่าในประเทศเราจะกระจายสินค้าอย่างไร"

แล้วเล็งไปที่ไหนบ้าง นั่นเป็นคำถามที่ถามออกไป ผู้ประกอบการรายนี้ ตอบว่า "จริงๆ ตอนนี้มีหลายทางเลือก เรายังไม่ได้สรุป ที่มาออกงาน Thaifex ครั้งนี้ แค่ต้องการดูผลตอบรับ ก็ปรากฏว่าได้รับผลตอบรับดีมาก เรามีบู๊ธเล็กๆ แต่ทุกคนที่เดินผ่านไป ก็จะเดินย้อนกลับมาด้วยความสะดุดตา สะดุดใจ"



ทำทุเรียนให้กลิ่นอ่อนลง

จับกลุ่มลูกค้าให้กว้างขึ้น

สำหรับ กลุ่มลูกค้าต่างชาตินั้น เขาว่า มีผู้ซื้อชาวต่างชาติติดต่อเข้ามาเยอะมาก จากหลายๆ ประเทศ โดยเฉพาะประเทศที่ชื่นชอบทุเรียนเป็นหลัก เช่น ฮ่องกง ไต้หวัน จีน สิงคโปร์ ส่วนชาติตะวันตก จะมีภาพติดลบกับทุเรียนเป็นส่วนใหญ่ ดังจะเห็นได้จาก ป้ายห้ามนำทุเรียนเข้าไปในสถานที่ต่างๆ ทั้งรถเมล์ รถไฟ สนามบิน โรงแรม ฯลฯ เรียกว่า ในส่วนที่เป็นห้องปรับอากาศทั้งหมด เป็นส่วนต้องห้ามของผลไม้นาม "ทุเรียน"

"พอจบโปรเจ็คต์นี้ เรากำลังจะมีโปรเจ็คต์หน้าคือ Soft aroma durian คือเราจะพัฒนาว่า จะทำให้กลิ่นทุเรียน อ่อนลงได้อย่างไร เพื่อต้องการเจาะกลุ่มผู้บริโภคที่ไม่ชอบในกลิ่น แต่อยากลองในรสชาติ ซึ่งเป็นเรื่องที่เรากำลังอยู่ในขั้นวิจัยและพัฒนา"

ทุเรียนย่อมมี กลิ่นแรงเป็นธรรมชาติอยู่แล้ว ดังนั้น การพัฒนาในครั้งนี้จะเป็นการฝืนธรรมชาติหรือไม่นั้น คุณมรุตว่า

"จริงๆ แล้ว ความต้องการนี้มาจากผู้บริโภค ถามว่าจะฝืนธรรมชาติมั้ย ผมขอเรียนอย่างนี้ว่า ปรากฏการณ์ของคนที่กินทุเรียน เรียกว่า ทุเรียนเอฟเฟ็กต์ คือจะรักหรือจะเกลียดทุเรียนมาจากการได้กลิ่นในครั้งแรก หมายความว่า คนที่ชอบ เมื่อทานปุ๊บแล้วชอบเลย อร่อย ส่วนที่ไม่ชอบคือ กินแล้วก็ไม่ชอบ ถึงขั้นเกลียด ดังนั้นจะเห็นได้ว่า ทางด้านการตลาดนี่ชัดเจน ดังนั้น ทุเรียนจึงเป็นสินค้าตัวแรกที่เราเลือกขึ้นมาเป็นจุดขาย นั่นหมายความว่า คนที่ เป็นทุเรียนเลิฟเวอร์ หรือหลงรักรสชาติทุเรียน นี่จะกระโดดเข้าใส่เลย อย่างคนจีนที่ชอบมาก บางคนมาซื้อลูกเดียวไม่พอ"

"ในทางกลับกัน เรามองว่า เราพัฒนาทุเรียนเป็นตัวแรก ด้วยความที่ได้สินค้าแปลกใหม่ ก็โอเค แต่พอไปเจอเรื่องกลิ่น ก็เป็นปัญหา จึงต้องมีการวิจัยและพัฒนาเข้ามาช่วยในส่วนที่ช่วยได้ อย่างที่ ทำให้เป็นซอร์ฟอโรมา คำว่า ซอร์ฟอโรมา ไม่ได้หมายความว่า ทำให้ทุเรียนไม่มีกลิ่น แต่ทำให้กลิ่นเบาลง อ่อนลง"

ปกติคนที่ชอบรับ ประทานทุเรียน จะมี 3 พวกใหญ่ๆ คือชอบทุเรียนห่ามๆ กรอบ กลุ่มนี้จะไม่ได้รสหวาน ไม่ได้กลิ่น พวกที่สอง คือพวกที่ชอบระดับกลางๆ จะได้ครบทั้งรสชาติและกลิ่น ส่วนพวกที่สาม คือชอบแบบสุก จะได้ทุเรียนรสหวานจัด กลิ่นฉุน ในระดับที่เรียกทุเรียนผลนั้นว่า "เป็นปลาร้าแล้วนะจ๊ะ"

"จะมีอีกพวกหนึ่งคือ อยากจะลิ้มรสความหวาน แต่สู้กลิ่นไม่ไหว เราอยากให้เค้าได้ลิ้มรสสักนิดหนึ่ง ทุเรียนนี่เป็นคิงออฟฟรุตนะครับ ถ้าเป็นเราไปเจอราชาแห่งผลไม้ที่ประเทศไหน เราก็อยากลอง แต่ถ้าต้องบีบจมูกกิน มันก็ไม่ควรเป็นอย่างนั้น"

การ วิจัยและพัฒนาในครั้งนี้ คุณมรุต เผยว่า ได้ร่วมพัฒนาเครื่องต้นแบบ กับบริษัทเล็กๆ จากประเทศญี่ปุ่นบริษัทหนึ่ง ซึ่งเป็นเอสเอ็มอีเหมือนกัน

ดู เหมือนว่า ในส่วนตัวผู้ประกอบการเอง ออกจะได้เปรียบในเรื่องการประสานเทคโนโลยีกับประเทศญี่ปุ่น เนื่องจากเขาจบการศึกษาระดับปริญญาตรี ทางด้านวิศวกรรมไฟฟ้า จากประเทศญี่ปุ่น

"ผมไม่ได้เรียนมาทางด้านวิทยาศาสตร์การอาหาร แต่มาทำตรงนี้ บางคนถามว่า ไม่ได้เรียนมา แล้วทำได้ด้วยเหรอ ผมตอบว่า ที่ผมทำได้เพราะไม่ได้เรียนมา เพราะผมคิดว่า การที่ผมเรียนมาทางวิศวกรรม ไม่มีพื้นฐานทางด้านวิทยาศาสตร์การอาหาร ทำให้ผมกล้าคิดนอกกรอบ คือถ้าจบทางด้านอาหารมาโดยตรง อาจจะมองแค่ในกรอบ การมองนอกกรอบ เราอาจจะต้องถอยออกมาแล้วมองเข้าไป ฉะนั้น ผมคือคนนอก ไม่ได้อยู่ในวงการ เป็นแค่ลูกชาวสวนผลไม้ที่ต้องการกลับไปพัฒนาให้กับชาวสวนเมืองจันท์"

สำหรับ ไอศกรีมผลไม้ ทั้ง 3 รสชาติในรูปไข่ คุณมรุตวางราคาขายส่งหน้าโรงงานไว้ที่ ลูกละ 15 บาท แต่ถ้าขายปลีกทั่วไป น่าจะอยู่ที่ลูกละ 30-35 บาท แล้วแต่ทำเล

"ตัว ไอศกรีมผลไม้รูปไข่ ใช้เวลาวิจัยและพัฒนา ปีเศษๆ ตอนนี้อยู่ในช่วงเช็คผลตอบรับ ซึ่งก็มีผู้ประกอบการหลายเจ้าที่ต้องการเป็นตัวแทนจำหน่ายซึ่งเราอยู่ใน ระหว่างการพิจารณา"

และนี่เป็นอีกหนึ่งการให้ไอเดีย สร้างคุณค่าให้กับสินค้า ถ้าบอกว่าเป็นไอศกรีมรสทุเรียน คงจะดูเป็นสินค้าพื้นๆ ธรรมดาๆ ที่ไม่น่าตื่นเต้นอะไร แม้กระทั่งจะบอกว่า เป็นผลไม้ 100 เปอร์เซ็นต์ ก็เชื่อว่ามีผู้ประกอบการรายอื่นทำออกมาบ้างแล้ว แต่นี่เป็นไอศกรีมผลไม้ 100 เปอร์เซ็นต์ อยู่ในบรรจุภัณฑ์รูปทรงไข่ แถมยังวางไข่ ในรังไข่พลาสติคที่ดูยังไงก็เป็นไข่ แต่ไม่ใช่ไข่

การ สร้างความสนใจ ความประทับใจเมื่อแรกเห็นนี้เอง ที่ทำให้ผู้บริโภคหันมามอง หันมาพิจารณา กระทั่งต้องการชิม และนำไปสู่การค้าขายต่อไป

มีสินค้า ธรรมดาๆ พื้นๆ อีกมากมาย ที่รอให้ผู้สร้างสรรค์งานเข้าไปพัฒนา เข้าไปจับมาแต่งตัวใหม่ เพื่อให้ต่อสู้ในทางการตลาดได้มากขึ้น และไม่แน่ว่า ผู้สร้างสรรค์งานรายต่อไป อาจเป็นคุณ!!!

สนใจติดต่อสอบถามได้ที่ บริษัท อินโนเวทีฟ ฟู้ด แพ็คเกจจิ้ง จำกัด เลขที่ 65 ถนนเพชรเกษม วัดท่าพระ บางกอกใหญ่ กรุงเทพฯ 10600 โทร. (02) 467-4214-5



การลงทุน ขายไอศกรีมผลไม้รูปไข่

1. รูปแบบซื้อมา ขายไป ราคาขายส่งหน้าโรงงาน ชิ้นละ 15 บาท สามารถนำไปขายได้ราคาชิ้นละ 30-35 บาท แล้วแต่ทำเล

2. นำไปขายเสริมในร้านอาหาร ซึ่งอาจจะมีตู้แช่อยู่แล้ว

3. ซื้อตู้แช่เพื่อขายไอศกรีม ราคาตู้แช่ ประมาณ 20,000 บาท

4. ลงทุนกับทางบริษัท 20,000 บาท สิ่งที่จะได้คือ ตู้แช่ และคีออส โดยใช้พื้นที่ขายประมาณ 2 ตารางเมตร (ทางคุณมรุตให้ข้อมูลว่า จริงๆ แล้ว ตัวเลขการลงทุนลักษณะนี้ประมาณ 30,000 บาท แต่ทางบริษัทต้องการช่วยผู้ประกอบการ 10,000 บาท จึงตั้งตัวเลขการลงทุนไว้ที่ 20,000 บาท)

5. สั่งซื้อสินค้ากับทางบริษัท ตั้งแต่ 1,000-1,500 บาท ทางบริษัทจัดส่งให้ฟรี ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล

6. ทำเลที่น่าสนใจมากที่สุด ได้แก่ สถานที่ท่องเที่ยว ซึ่งมีชาวต่างชาติเดินทางมาท่องเที่ยวเป็นประจำ ได้แก่ พัทยา สมุย ภูเก็ต กระบี่ ตรัง เชียงใหม่ หาดใหญ่ ฯลฯ และทำเลที่น่าสนใจรองลงไปได้แก่ ใกล้สถาบันการศึกษา รวมทั้งแหล่งชุมชน

เครื่องดื่ม ถั่วแดงเย็น

ใครที่ชอบไปรับประทานสุกี้ตามร้านสุกี้คงทราบถึงความอร่อยของถั่วแดงเย็นดี ถั่วแดงเป็นพืชที่มีประโยชน์มาก มีทั้งสารอาหารโปรตีน ไขมัน คาร์โบไฮเดรต แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก วิตามีนเอ บี ซี มีสารอาหารมากขนาดนี้ ไม่ทำรับประทานคงไม่ได้แล้ว ถ้าทำขาย เป็น อาชีพเสริมได้ ด้วยก็ท่าจะดี


ส่วนผสม

ถั่วแดงเม็ดใหญ่หรือเล็กก็ได้ 500 กรัม
น้ำตาลทราย 2 ถ้วยตวง
นมข้นจืดหรือหวานก็ได้ 1 กระป๋อง
น้ำ แดง 1/2 ถ้วย
น้ำ 6 ถ้วย
น้ำแข็งใสหรือน้ำแข็งทุบตามต้องการ

วิธี ทำ

1 นำถั่วแดงมาแยกสิ่งสกปรกออกและล้างทำความสะอาด แช่น้ำไว้ 1 คืน
2 ล้างถั่วแดงที่แช่ค้างคืนไว้แล้วให้สะอาด
3 นำถั่วแดงใส่หม้อ ตั้งไฟ ต้มไปเรื่อยๆจนน้ำงวด
4 ใส่น้ำตาล คนให้น้ำตาลพอละลาย ยกลง
5 ปล่อยทิ้งไว้ให้เย็น ตักถั่วแดงใส่แก้ว ใส่น้ำแข็ง ราดด้วยน้ำแดง นมข้นจืดหรือนมข้นหวานแล้วแต่ชอบ
ขอบคุณที่มาของบทความ อาชีพเสริมสร้างรายได้
http://www.archeep.com/drink/drk_r_bean.htm

เครื่องดื่ม น้ำบ๊วย อาชีพเสริม

น้ำบ๊วยเป็นเครื่องดื่มที่มีรส เปรี้ยวอมหวานและออกเค็มเล็กน้อยดื่มแล้วชื่นใจและยังทำง่ายอีกด้วย เวลาซื้อบ๊วยให้เลือกบ๊วยเม็ดใหญ่เนื้อจะเยอะและควรมีสีน้ำตาลอมเหลือง ถ้าเป็นสีน้ำตาลเข้มจะเป็นบ๊วยเก่ารสจะเค็มเกินไป ทำเป็น อาชีพเสริม ได้อีกทาง


ส่วนผสม

บ๊วยดองน้ำเกลือ 10 เม็ด
น้ำตาล ทราย 1-1/2 ถ้วยตวง
เกลือป่น 1-2 ช้อนชา
น้ำ 6 ถ้วย

วิธีทำ

1 นำบ๊วยมายีเอาแต่เนื้อ แยกเม็ดออก
2 ใส่น้ำลงหม้อ ใส่น้ำตาล ตั้งไฟ พอน้ำเดือดและน้ำตาลละลายก็นำบ๊วยลงต้มจนน้ำมีสีเหลืองอ่อน
3 ใส่เกลือ คนให้ทั่ว ลองชิมให้ออกรสเปรี้ยวหวาน เค็มเล็กน้อย ปล่อยไว้ให้เย็นแล้วเก็บใส่ขวด แช่ในตู้เย็น
4 เวลาดื่มเทลงในแก้วที่มีน้ำแข็งเกล็ด

เป็นยังไงครับ ทำง่ายมากแถมอร่อยชื่นใจอีกต่างหาก ผมเห็นร้านที่ขายเครื่องดื่มที่มีอยู่โดยทั่วไปจะต้องมีน้ำบ๊วยนี้เป็นหนึ่ง ในเมนูเครื่องดื่มเสมอ ขอบคุณที่มาของบทความแนะนำอาชีพที่ http://www.archeep.com/drink/drk_buoay.htm

ขายน้ำผลไม้ปั่น เป็นอาชีพเสริม



เงินลงทุน ประมาณ 4,000 บาท

(เครื่องปั่นน้ำผลไม้ 1,500 บาทขึ้นไป กระติกน้ำแข็ง 200 กว่าบาท ที่คั้นน้ำส้มอลูมิเนียม 250 บาท)

รายได้ ประมาณ 10,000 บาท/เดือน


วัสดุ/อุปกรณ์
เครื่อง ปั่น ที่คั้นน้ำส้ม ภาชนะใส่ผลไม้ โหลใส่น้ำเชื่อม ช้อน มีด เขียง ทัพพีกลมขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 2.5 นิ้ว แก้ว ถุงพลาสติก หลอดดูด ยางรัดถุง กระติกน้ำแข็งและภาชนะตักน้ำแข็ง
แหล่ง จำหน่ายอุปกรณ์
ร้านค้า ร้านจำหน่ายอุปกรณ์ไฟฟ้า คลองถม เวิ้งนครเขษม ห้างสรรพสินค้าทั่วไป

วัตถุดิบ
น้ำตาลทราย เกลือป่น น้ำแข็ง น้ำ นมสด และผลไม้ เช่น ส้ม มะนาว สับปะรด มะพร้าวน้ำหอม แอปเปิ้ล แตงโม กล้วยหอม แตงไทย ฝรั่ง แครอท เป็นต้น
แหล่งจำหน่ายผลไม้
ตลาดมหานาค ตลาดเทเวศร์ ตลาดไท ตลาดสี่มุมเมือง ตลาดคลองเตย
วิธีทำ
1. นำน้ำตาลทรายและน้ำในอัตราส่วน 2:1 ตั้งไฟ คนให้ละลายเข้ากันเป็นน้ำเชื่อม แล้วใส่โหลไว้
2. นำมะพร้าวน้ำหอมที่เตรียมไว้ เอาแต่น้ำมะพร้าวและตักเนื้อเป็นชิ้น ๆ เทใส่ภาชนะไว้
3. ผลไม้อื่น ๆ ใส่ภาชนะไว้ให้ดูสวยงามวิธีปั่นน้ำผลไม้ 1 แก้ว 1. น้ำส้ม - ส้ม 1-2 ผล (ขึ้นอยู่กับขนาดของผลส้ม) คั้นเอาน้ำ น้ำมะนาว - มะนาว 1 ผล คั้นเอาน้ำ สับปะรด - หั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ 1/3 ถ้วยตวง มะพร้าวอ่อน - น้ำมะพร้าวพร้อมเนื้อเล็กน้อยประมาณ 1 ทัพพีกลม 2. นำน้ำหรือเนื้อผลไม้ตามที่ลูกค้าต้องการ ในอัตราส่วนข้อ 1 ใส่เครื่องปั่น 3. ตักน้ำเชื่อมใส่ประมาณ 1 ทัพพีกลม
4. ใส่เกลือประมาณ ? ช้อนชา (อาจมากหรือน้อยกว่านี้ขึ้นอยู่กับชนิดของน้ำผลไม้)
5. ตักน้ำแข็งใส่
6. ใส่นมสดเล็กน้อยตามชนิดของน้ำผลไม้ที่ลูกค้าต้องการ
7. กดปุ่มเครื่องปั่นปั่นน้ำแข็งให้ละเอียดตามความต้องการของลูกค้า
8. จากนั้นเทใส่ถุงหรือแก้วให้ลูกค้า

ตลาด/แหล่งจำหน่าย
ย่านชุมชน ตลาดทั่วไป หน้าสถานศึกษา หรือเช่าสถานที่ในศูนย์การค้า งานกิจกรรม
ข้อแนะนำ ในการทำน้ำ ผลไม้ปั่นเป็นอาชีพเสริม สร้างรายได้
1. อาจเพิ่มชา-กาแฟปั่น โอวัลตินหรือไมโลปั่น โดยใช้ชา-กาแฟสำเร็จรูป ไมโลหรือโอวัลตินชงใส่น้ำตาล และครีมเทียมหรือนมข้นหวาน นำไปปั่น หรือชง-กาแฟโบราณ ร้อน-เย็น ขายควบคู่กัน
2. การทำน้ำมะนาวปั่น ไม่ควรบีบเปลือกมากเกินไป เพราะจะทำให้มีรสขม
3. ควรสอบถามความต้องการของลูกค้าว่าต้องการรสชาติอย่างไร เช่น หวานน้อยหรือมาก และน้ำผลไม้บางชนิดต้องการใส่นมสดหรือไม่

ขอบ คุณที่มาของบทความ อาชีพเสริม สร้างรายได้ http://www.doe.go.th/vg/career/career5/job5060.htm


ขาย บะหมี่-เกี๊ยว เป็นอาชีพเสริม

เงินลงทุน ขายบะหมี่ เกี๊ยว
ประมาณ 10,000 บาท (รถเข็น 3,000-4,000 บาท ตู้กระจก 1,000 บาท หม้อก๋วยเตี๋ยว 1,300 บาท เตาพร้อมถังแก๊ส 2,000 บาท)

ราย ได้
ประมาณ 50,000 บาท ขึ้นไป/เดือน

วัสดุ/อุปกรณ์
รถ เข็น ตู้กระจก หม้อก๋วยเตี๋ยว เตาพร้อมถังแก๊ส ตะกร้อลวกก๋วยเตี๋ยว กระบวยตักน้ำก๋วยเตี๋ยว อุปกรณ์ใส่เครื่องปรุง ชาม ช้อน ตะเกียบ เขียง มีด ตะแกรงย่าง กะละมัง ถุงพลาสติกร้อน ยางรัดถุง

แหล่งจำหน่ายอุปกรณ์
ร้านจำหน่ายอุ ปกรณ์อลูมิเนียม ห้างสรรพสินค้าทั่วไป ย่านเวิ้งนาครเขษม ตลาด

ส่วน ผสมน้ำซุป น้ำสะอาด 40 ลิตร กระดูกหมู 1-2 กิโลกรัม กระเทียมดอง 2 ขีด หัวไชเท้า 3 หัว กะหล่ำปลี 1 หัว น้ำตาลทราย 2-4 ช้อนโต๊ะ พริกไทยเม็ด 2-4 ช้อนโต๊ะ เกลือป่น 2-3 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ 1
ต้มน้ำในหม้อก๋วยเตี๋ยวให้เดือดใส่ส่วนผสมทุกอย่างลงไปชิม รสดู ถ้ายังไม่เค็มให้เติมเกลือ ถ้าไม่หวานเติมน้ำตาลทรายเพิ่มได้ไม่ควรเติมน้ำปลา เพราะอาจทำให้เสียรสชาติได้ส่วนผสมหมูแดง เนื้อหมูสันใน 2 กิโลกรัม ซอสมะเขือเทศ 1/2 ขวดใหญ่ ซีอิ๊วดำ 2 ช้อนโต๊ะ ซีอิ๊วขาว 1/2 ถ้วยตวง น้ำตาลทราย 5 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ 2
นำเนื้อหมูสัน ในหั่นเป็นชิ้นพอประมาณ คลุกเคล้ากับซอสมะเขือเทศ ซีอิ๊วขาว ซีอิ๊วดำ และน้ำตาลทราย หมักไว้ประมาณ 30 นาที แล้วนำมาย่างไฟปานกลางจนสุกเหลือง มีกลิ่นหอมเครื่องปรุง
1. เส้นบะหมี่ แผ่นเกี๊ยว - จัดใส่ตู้กระจกไว้
2. เนื้อหมูสดสับพร้อมกับกระเทียม พริกไทยป่นและซีอิ๊วขาวเล็กน้อย
3. หมูแดง - หั่นเป็นชิ้นบาง ๆ พอคำ ใส่ภาชนะไว้
4. ตั้งฉ่าย
5. ผักต่าง ๆ - ผักกวางตุ้ง หั่นเป็นท่อนพอประมาณ แช่น้ำไว้ - ถั่วงอก แช่น้ำไว้ - ต้นหอม ผักชี หั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ ใส่ภาชนะไว้
6. กระเทียมเจียว
7. น้ำส้ม น้ำปลา น้ำตาลทราย พริกป่น ถั่วลิสงคั่วป่น ใส่ภาชนะเครื่องปรุงไว้

วิธีทำ 3
1. ลวกบะหมี่หรือเกี๊ยวด้วยตะกร้อลวกก๋วยเตี๋ยวใส่ชามไว้ (หากเป็นเกี๊ยว ให้ตักหมูสับที่เตรียมไว้ใส่แผ่นเกี๊ยว ประมาณ 1/2 ช้อนโต๊ะ/แผ่น แล้วห่อก่อนนำไปลวก)
2. ใส่กระเทียมเจียวคลุกเคล้าเส้นบะหมี่หรือเกี๊ยว
3. ลวกผักกวางตุ้งที่หั่นไว้หรือถั่วงอกใส่
4. ใส่ตั้งฉ่ายและหมูแดง
5. ใส่ต้นหอม ผักชี
6. ตักน้ำซุปใส่
7. หยิบเกี๊ยวทอดใส่ แล้วเสิร์ฟให้ลูกค้า
ตลาด/แหล่ง จำหน่าย
แหล่งชุมชนทั่วไป งานกิจกรรมต่างๆ ตลาด หมู่บ้าน
ข้อแนะนำ
1. สามารถใช้หมูสับแทนหมูแดง หรือดัดแปลงเป็นบะหมี่-เกี๊ยวปู
2. อาจดัดแปลงโดยใส่ลูกชิ้นปลาในบะหมี่-เกี๊ยวด้วยก็ได้
3. หากต้องการเพิ่มรสชาติ ควรโรยกากหมูใส่ลงไปด้วยเล็กน้อย

ขอบ คุณที่มาของบทความอาชีพเสริม สร้างรายได้ http://www.doe.go.th/vg/career/career5/job5061.htm

'ทอลูก ปัด' งานเสริม 'ขายไอเดีย-ราคาดี' รวย

งานประดิษฐ์หลายชิ้นต้องยอมรับว่าเมื่อได้เห็นแล้วก็อดทึ่งไม่ได้ เพราะนอกจากจะสวยงามแล้วยังแสดงถึงความมุ่งมั่นตั้งใจของคนทำเป็นอย่างมาก ต้องใช้เวลาและความอดทน แต่เมื่อเทียบกับมูลค่าที่ได้รับกลับมาก็เรียกได้ว่า...หายเหนื่อย อย่างเช่นงาน “ทอลูกปัด” ที่ทีม “ช่องทางทำกิน” มีข้อมูลมานำเสนอ...อาชีพ เสริม

มณี แถววงษ์ เจ้าของงาน “ทอลูกปัด” เล่าว่า เคยประกอบอาชีพเป็นผู้สื่อข่าวมาก่อน ภายหลังแต่งงานมีครอบครัวก็เลยเปลี่ยนงาน หันมาสนใจงานประดิดประดอย อาศัยเวลาว่างไปอบรมหาความรู้เกี่ยวกับการ ประดิษฐ์งานฝีมือตลอดเวลา จนมาสะดุดใจกับงานทอลูกปัดนี้เข้า โดยได้เห็นรูปแบบมาจากงานทอลูกปัดยุคโบราณ คิดว่าสวยดี จึงหันมาศึกษาขั้นตอนการทำงานทอลูกปัดนี้อย่างจริงจัง โดยนำมาประยุกต์ให้เข้ากับจินตนาการของตนเอง จนเกิดเป็นลวดลายต่าง ๆ ขึ้น โดยปัจจุบันทำงานนี้มาได้กว่า 20 ปีแล้ว

“รูปแบบคือการผสมผสานเทคนิค ระหว่างงานทอผ้าผนวกกับงานร้อยลูกปัด โดยจะเน้นผลิตเป็นชิ้นงานหรือเป็นภาพ โดยลูกค้าสามารถซื้อแล้วนำไปประดับกับสินค้า อื่น ๆ หรือใช้เป็นของตกแต่ง”

การ ทอลูกปัดนั้น มณีบอกว่า สามารถดัดแปลงให้เป็นชิ้นงานได้หลากหลาย เช่น สร้อยข้อมือ สร้อยคอ กระเป๋าใส่ของกระจุกกระจิก ฯลฯ ตามแต่จินตนาการของคนทำ โดยสินค้าของมณีและกลุ่มงานทอลูกปัด ราคาขายเริ่มต้นที่ชิ้นละ 900 บาทขึ้นไป ขึ้นอยู่กับขนาด รูปแบบ และความยากง่ายของสินค้า

สำหรับ ความแตกต่างระหว่างงานร้อยลูกปัดกับงานทอลูกปัดนั้น เจ้าของงานบอกว่า งานทอลูกปัดจะใช้เวลาและความอดทนในการทำมากกว่า เพราะแต่ละขั้นตอนจำเป็นต้องอาศัยความประณีต เหมือนกับการทอผ้า แต่แลกมาด้วยความสวยงามของลวดลายที่จะละเอียดกว่า และสามารถสร้างสรรค์ลวดลายได้มากมาย

“ลวดลายที่ทำเริ่มจากลายง่าย ๆ เช่น ลายดอกไม้ ที่เป็นลายพื้นฐาน ไปจนถึงลายที่ยากขึ้น อย่างลายไทย ลูกค้าส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มที่ซื้อไปเพื่อเป็นของตกแต่งและของประดับ โดยมีลูกค้าทั้งในและต่างประเทศ”

ทุนเบื้องต้น ใช้เงินลงทุนไม่มาก อยู่ที่ประมาณ 1,000 บาท ส่วนทุนวัตถุดิบอยู่ที่ประมาณ 30% ของราคาขาย เพราะใช้วัสดุในการทำไม่มาก แต่ใช้เวลามาก โดยอุปกรณ์ที่จำเป็นในงานทอลูกปัด ได้แก่ เครื่องหรือกี่สำหรับทอลูกปัด, ด้าย-เข็ม สำหรับร้อยลูกปัด, ลูกปัด, กรรไกร-คัตเตอร์ และอุปกรณ์สำหรับตกแต่ง อื่น ๆ

ขั้นตอน การทำ เริ่มจากการขึงเส้นด้าย เพื่อทอเครื่องประดับที่มีความยาวไม่มากเกิน ความยาวของเครื่องทอ เช่น จี้ เข็มกลัด หรือสร้อยข้อมือ โดยขึงเส้นด้ายวนอ้อมหมุดไปมาทั้งสองด้าน จนได้จำนวนเส้นด้ายแนวตั้งครบตามที่ต้องการ โดยหมุนแกนให้หมุดทำมุม 45 องศาทั้ง 2 ด้าน แล้วหมุนตัวล็อกเพื่อยึดให้แน่น

จากนั้นยึดปลายเส้น ด้ายด้วยสก๊อตเทปแล้วพันรอบหมุดประมาณ 3 รอบ โดยขึงเส้นด้ายไปยังหมุดอีกด้าน ให้เส้นด้ายผ่านร่องสปริงทั้ง 2 ด้านแล้วพันวกกลับ โดยอ้อมผ่านหมุดและพันพาดไปมาทีละเส้นโดยให้แต่ละเส้นขนานกัน โดยอยู่เรียงกันในร่องสปริง และถูกตรึงโดยหมุดทั้ง 2 ด้าน
เมื่อขึงจนครบ จำนวนเส้นที่ต้องการ ให้พันปลายเส้นด้ายรอบหมุด 3 รอบ ยึดปลายด้ายด้วยสก๊อตเทป ปรับเส้นด้ายที่ขึงให้ตึง โดยหมุนตัวล็อกให้แกนไม้บิดลงเล็กน้อย

ต่อมาเป็นขั้นตอนการทอ เริ่มจากการร้อยลูกปัดด้วยเข็มและด้าย โดยใช้สีและจำนวนตามที่แบบกำหนด ในแต่ละแถวดันให้ลูกปัดแต่ละเม็ดแทรกขึ้นมาระหว่างเส้นด้ายที่ขึงในแนวตั้ง แล้วสอดก้นเข็มผ่านรูลูกปัดทั้งแถวเพื่อให้ลูกปัดเรียงเป็นแถวตรง ทอเช่นนี้ไปทีละแถวตามแบบ จนได้ชิ้นงานที่ต้องการ

เจ้าของผลงานบอก ว่า สีของเส้นด้ายที่ใช้ขึงแนวตั้งและทอในแนวนอน ควรใช้สีเดียวกัน ซึ่งสีของเส้นด้ายที่ใช้ควรใกล้เคียงกับสีพื้นของลูกปัดในชิ้นงาน และเพื่อความแน่นหนา เมื่อร้อยด้ายย้อนผ่านรูลูกปัดในแถวแรกแล้ว ควรผูกเส้นด้ายแนวนอนกับปลายเส้นด้ายที่เหลือไว้ในตอนแรก

“แม้จาก ขั้นตอนการทำที่ว่ามาจะฟังดูยาก แต่ถ้าหากได้ทดลองทำจริง ๆ ฝึกฝนจนชำนาญไประยะหนึ่ง ก็จะเริ่มเข้าใจ และจะเริ่มสนุกขึ้น อาชีพนี้ถ้าตั้งใจทำจริง ๆ มีตลาดแน่นอน เพราะลูกค้ามีมากกว่าคนผลิต อีกทั้งเป็นงานฝีมือที่ในตลาดยังมีคู่แข่งขันน้อย” เจ้าของงานกล่าวทิ้งท้าย

สนใจ ติดต่อ กลุ่มงานทอลูกปัด ติดต่อได้ที่เลขที่ 59/34 หมู่บ้านเสนานิเวศน์ โครงการ 2 แขวงจรเข้บัว เขตลาดพร้าว กรุงเทพฯ โทร. 08-1269-8832 ใครสนใจอยากจะฝึกทำ ก็ลองสอบถามกันโดยตรง.

ศิริโรจน์ ศิริแพทย์ : รายงาน / จเร รัตนราตรี : ภาพ
ขอบคุณที่มา http://www.dailynews.co.th

ของฝาก สร้างอาชีพ 'ลูกหยีกวน'


“ลูกหยี” เป็นหนึ่งในของฝากที่ขึ้นชื่อของปักษ์ใต้ เป็นผลไม้พื้นเมืองของภาคใต้ รับประทานได้เมื่อสุก ตอนเป็นผลดิบจะมีสีเขียว เมื่อสุกเปลือกสีดำ เนื้อในสีน้ำตาล รสหวานอมเปรี้ยว ถ้ากินสุก ๆ เพียงแกะเปลือกสีดำออกก็รับประทานได้แล้ว แต่ถ้าอยากเพิ่มความอร่อยก็นำมาปรุงรสแปรรูปในลักษณะต่าง ๆ เช่นทำเป็น “ลูกหยีกวน” ซึ่งทางทีมคอลัมน์ “ช่องทางทำกิน” ก็มีข้อมูลในเชิงอาชีพมานำเสนอให้พิจารณากัน...

อาจารย์สาลี ชนะสิทธิ์ วัย 60 ปี ผู้อำนวยการโรงเรียนมัธยมพัทลุงวิทยา ในฐานะทายาทผู้สืบทอดธุรกิจ “ลูกหยีแม่หนูดำ” เล่าให้ฟังถึงที่มาของธุรกิจนี้ว่า เจ้าของสูตรที่แท้จริงคือ คุณป้าหนูดำ เยาวนานนท์
ซึ่งเป็นป้าแท้ ๆ ที่ยึดอาชีพนี้มากว่า 50 ปี สมัยเด็ก ๆ อาจารย์จะคอยเป็นลูกมือแกะลูกหยี ทำโน่นทำนี่ให้คุณป้าเสมอ จนทำให้ซึมซับเคล็ดลับและวิธีการแปรรูปลูกหยีเรื่อยมา

“สมัยนั้นทำ กันเฉพาะในครัวเรือน วางขายหน้าบ้าน ซึ่งได้รับความนิยมมาก มีลูกค้าขาประจำทั้งในจังหวัดพัทลุงและใกล้เคียงมาอุดหนุน ทำกันเรื่อยมาจนกระทั่งท่านอายุมาก บวกกับร่างกายไม่แข็งแรง แต่อยากให้อาชีพนี้ตกทอดเป็นมรดกของคนในครอบครัว ในฐานะหลานสาวที่คลุกคลีกับการทำลูกหยีมาตลอด เรายินดีที่จะสืบถอดธุรกิจนี้ และเริ่มทำอย่างจริงจังมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2542 จนปัจจุบัน”

และเพื่อ เป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภค และรักษามาตรฐานผลิตภัณฑ์ อาจารย์สาลียังได้ต่อยอดสินค้า ด้วยการพัฒนากระบวนการผลิตให้ได้คุณภาพ จนผ่านการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) มาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน (มผช.) พัฒนาสินค้าจนได้รับเลือกเป็นสินค้าโอทอประดับ 5 ดาว เป็นสินค้าเด่นประจำจังหวัดพัทลุง อีกทั้งยังปรับปรุงบรรจุภัณฑ์ให้ทันสมัยเหมาะจะซื้อเป็นของฝากอีด้วย
เคล็ด ลับความอร่อยของ “ลูกหยีกวน” อาจารย์สาลีบอกว่าอยู่ที่ประสบการณ์การปรุงรส ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะ ซึ่งสูตรจะไม่กำหนดเป็นอัตราส่วนตายตัว เพราะลูกหยีสดที่รับซื้อมาแต่ละปีรสชาติจะต่างกัน หวานบ้างเปรี้ยวบ้าง ดังนั้น สูตรการปรุงรสจะเกิดจากความคุ้นเคย การทำทุกครั้งจะต้องชิมและปรุงรสให้ได้ที่

วัตถุดิบ/ส่วนผสม ประกอบด้วย ลูกหยีสด, แบะแซ, น้ำผึ้งรวง, เกลือ, น้ำตาลทราย, พริกขี้หนูป่น และน้ำสะอาด ส่วนอุปกรณ์ก็มีอาทิ เครื่องกะเทาะเปลือกและเม็ดลูกหยี (หรือใช้ถุงผ้าก็ได้), กระทะ, เตาแก๊ส, ตะหลิว, ไม้พาย, ถาด, กระด้ง และเครื่องไม้เครื่องมือเบ็ดเตล็ดอื่น ๆ ที่หยิบฉวยเอาได้จากในครัวเรือน

ขั้น ตอนการทำ “ลูกหยีกวน” เริ่มจากนำลูกหยีสดไปตากแดดประมาณ 2 วัน แล้วก็กะเทาะเอาเปลือกและเมล็ดออก ถ้าไม่มีเครื่องกะเทาะก็ให้นำลูกหยีที่ตากได้ที่แล้วมาใส่ในถุงผ้าที่เตรียม ไว้ แล้วทำการฟาดหลาย ๆ ครั้ง เพื่อให้เปลือกแตก เสร็จแล้วก็เทลูกหยีใส่กระด้ง ทำการร่อนเอาเปลือกออก ถ้ามีเศษเปลือกติดค้างต้องแกะให้เกลี้ยง ก่อนจะทำการแกะเมล็ดออก แล้วนำลูกหยีไปเกลี่ยในกระด้งให้ทั่ว นำออกตากแดดอีก 2 วัน แล้วนำลูกหยีที่ตากแดดแห้งดีแล้วเก็บใส่ถุงมัดปากให้ดี ตั้งพักไว้

ต่อ ไปเป็นขั้นตอนการทำน้ำเชื่อม นำน้ำสะอาด น้ำผึ้งรวง แบะแซ น้ำตาลทราย เกลือ และพริกขี้หนูป่น ใส่ลงในกระทะพร้อมกัน ยกขึ้นตั้งไฟปานกลาง เคี่ยวประมาณ 10 นาที จนเป็นน้ำเชื่อมเหนียวเข้มข้น

เมื่อเคี่ยวน้ำเชื่อมได้ที่ดี แล้ว ก็นำลูกหยีที่เตรียมไว้ใส่ลงในกระทะน้ำเชื่อม ทำการคนคลุกเคล้าให้เข้ากัน ยกลง พอเริ่มอุ่น ๆ ก็นำไปปั้นเป็นเม็ดกลม ๆ พอดีคำ แล้วนำไปตากแดดอีกประมาณ 20 นาที จากนั้นห่อด้วยกระดาษ และใส่ลงบรรจุภัณฑ์ พร้อมจำหน่าย โดยสามารถเก็บไว้ได้นานถึงประมาณ 3 เดือน

สินค้า ของอาจารย์สาลีมีให้เลือก 3 ประเภทคือ ลูกหยีกวน ลูกหยีสด ลูกหยีทรงเครื่อง ราคาขายแตกต่างกันไปตามขนาด และบรรจุภัณฑ์ แต่เฉลี่ยอยู่ที่ขีดละ 40 บาท มีต้นทุนประมาณ 70%

ร้านลูกหยีแม่หนูดำ อยู่ที่เลขที่ 52/2 ถ.ประชาบาล ต.คูหาสวรรค์ อ.เมือง จ.พัทลุง, ที่สนามบินหาดใหญ่ และโซนโอทอป ห้างเทสโก้โลตัส สาขาพัทลุง ส่วนในกรุงเทพฯมีขายที่ร้านโครงการหลวง ใกล้โรงพยาบาลศิริราช และมีบริการส่งสินค้าทางไปรษณีย์ทั่วประเทศด้วย ใครต้องการสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม ต้องการสั่งซื้อ ต้องการสั่งไปจำหน่ายต่อ ติดต่อที่ โทร.0-7462-6414 หรือ 08-6627-0867
เชา วลี ชุมขำ :รายงาน
ที่มา เดลินิวส์ http://www.dailynews.co.th

พลิกแพลง ซาลาเปา..ไส้แกง

พลิกแพลงสร้างจุดขายที่ไม่เหมือนใครซาลาเปาไส้แกงจ้า

“ซาลาเปา” ยุคนี้มีการพัฒนาพลิกแพลงให้แปลกใหม่หลากหลาย ทั้งรูปร่างหน้าตา รวมถึง “ไส้แปลก ๆ” ซึ่งวันนี้ทีม “ช่องทางทำกิน” ก็จะเสนอข้อมูลการทำอาชีพขายซาลาเปาที่มีไส้ใหม่ ๆ น่าสนใจ...

ศิริ พรรณ อตัญธี อายุ 43 ปี เจ้าของร้าน “บ้านซาลาเปา” ย่านรังสิต ซึ่งทำซาลาเปาขายมากว่า 10 ปี เล่าว่า อาชีพเดิมคือพนักงานออฟฟิศ เมื่อช่วง พ.ศ. 2543 ต้องตกงาน เพราะพิษเศรษฐกิจ ต้อง ออกจากงาน แต่โชคดีที่สามีมีอาชีพเป็นกุ๊กที่ภัตตาคารห้อยเทียนเหลา จึงได้ออกมาทำซาลาเปาขายแบบเล็ก ๆ ที่บ้าน

ระยะแรกเริ่มต้นจาก 3 ไส้ก่อนคือ ซาลาเปาไส้หมูแดง, ซาลาเปาไส้หมูสับ, ซาลาเปาไส้ครีม ทำแล้วนำไปฝากขายตามสถานที่ต่าง ๆ จากนั้นก็พัฒนาอาชีพให้เติบโตมาเรื่อย ๆ จนปัจจุบันซาลาเปาที่ทำขายมีมากกว่า 10 ไส้ ประยุกต์ พัฒนา พลิกแพลงมาเรื่อย ๆ ตามยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไป

ซาลาเปาไส้เขียวหวาน ไก่ไข่เค็ม, ซาลาเปาไส้กะเพราไก่ไข่เค็ม, ซาลาเปาไส้พะแนงหมูไข่เค็ม เป็น 3 ในกว่า 10 ไส้ที่ศิริพรรณทำขายอยู่ และได้รับความนิยมเป็นอย่างดี ซึ่งเจ้าตัวบอกว่า เพราะคนไทยกินข้าวแกงประจำ จึงคิดทำ ซาลาเปาที่มีรสแกงออกมาขาย ทดลองทำอยู่ไม่นานก็ทำได้ และขายดีด้วย

วิธี ทำซาลาเปาไส้แกงต่าง ๆ ศิริพรรณอธิบายว่า ก่อนอื่นก็ต้องเริ่มที่แป้ง ตามสูตรก็เตรียมแป้งสาลี 12 กก., เชื้อ 1 กก. (เชื้อนี้ต้องเริ่มต้นด้วยการหมักแป้งสาลีประมาณ 2 กำมือกับน้ำพอประมาณ นวดแล้ว ทิ้งไว้ 2-3 วัน เมื่อจะนำมาขึ้นเชื้อใหม่ ให้นวดแป้งสาลีกับน้ำในปริมาณที่ต้องการใช้ แล้วนำมาผสมกับปริมาณแป้งที่จะใช้ในแต่ละวัน เชื้อแป้งนี้อย่าใช้จนหมด ต้องแบ่งบางส่วนไว้ใช้ในคราวต่อไปด้วย เพราะถ้าใช้หมดต้องเสียเวลาหมักแป้งใหม่ ซึ่งอาจทำได้ไม่เหมือนครั้งแรก หรือจะแก้ปัญหาด้วยการไปขอเชื้อจากภัตตาคารที่ขายซาลาเปาก็ได้), น้ำตาลทราย 12 กก., แอมโมเนีย 1 ช้อนชา., ผงฟู 1 ช้อนโต๊ะ., น้ำมัน 3 ช้อนโต๊ะ, นมสด 12 กระป๋อง

ในส่วนของแป้งนี้ วิธีทำคือนวดส่วนผสมทั้งหมดให้เข้ากันให้เนียน โดยที่แป้งไม่ติดมือ จากนั้นใส่น้ำประมาณ 12 ถ้วย แล้วนวดจนเนียนอีก 20 นาที จากนั้นค่อย ๆ แบ่งแป้งออกเป็นก้อน ก้อนละ 40 กรัม เตรียมไว้

สำหรับสูตรแป้งที่ว่า มานี้จะทำซาลาเปาได้ประมาณ 30-32 ลูก

ต่อด้วยวิธีการทำ ไส้เริ่มที่ “ซาลาเปาเขียวหวานไก่ไข่เค็ม” มีส่วนผสมของไส้คือ เนื้อไก่สับ 1 กก., พริกแกงเผ็ดเขียวหวาน 2 ช้อนโต๊ะ, กะทิ 1 กล่อง, น้ำปลา 2 ช้อนโต๊ะ, น้ำตาล 1 ช้อนโต๊ะ คลุกให้เข้ากัน ใส่แป้งข้าวโพดลงไปพอประมาณ นวดให้เข้ากันจนเหนียว จากนั้นใส่ใบโหระพาลงไป แล้วค่อยนำไปแบ่งใส่แป้งซาลาเปาที่แผ่เตรียมไว้ ใส่ไข่เค็มสุก (ไข่แดง) ลงไปประมาณ 12 ฟอง

ถัดมา “ซาลาเปาพะแนงหมูไข่เค็ม” มีส่วนผสมคือ เนื้อหมู 1 กก., เครื่องแกงพะแนง 2 ช้อนโต๊ะ, น้ำตาลทราย 2 ช้อนโต๊ะ, น้ำปลา 1 ช้อนโต๊ะ, ใบมะกรูดหั่นฝอย ผสมส่วนผสมให้เข้ากัน จากนั้นจึงค่อยนำไปแบ่งใส่แป้งซาลาเปาที่แผ่เตรียมไว้ ใส่ไข่เค็มสุก (ไข่แดง) ลงไปประมาณ 12 ฟอง

ส่วน “ซาลาเปากระเพราหมูไข่เค็ม” ใช้หมูสับ 1 กก., กระเทียมสับ และพริกขี้หนูบด 2 ช้อนโต๊ะ, น้ำตาลทราย 1 ช้อนโต๊ะ, น้ำปลา 2 ช้อนโต๊ะ และใบกะเพราพอประมาณ วิธีทำก็นำส่วนผสมมาคลุกผสมให้ เข้ากัน จากนั้นจึงนำไปแบ่งใส่แป้งซาลาเปาที่แผ่เตรียมไว้ ใส่ไข่เค็มสุก (ไข่แดง) ลงไปประมาณ 12 ฟอง การห่อแป้งหุ้มไส้ต่าง ๆ นั้น เวลาจะห่อไส้ก็ให้แผ่แป้งออกขนาดประมาณฝ่ามือ ใส่ไส้ลงไปพอประมาณ แล้วจึงห่อแป้งหุ้มให้แน่น จับจีบด้านบนให้สวยงาม แล้ววางบนกระดาษ จากนั้นนำไปนึ่งประมาณ 12-15 นาที

ซาลาเปาทั้ง 3 ไส้นี้ขายได้ในราคาลูกละ 15 บาท โดยมีต้นทุนประมาณ 60-70% ของราคา

สนใจ “ซาลาเปาไส้แกง” ต้องการติดต่อ ศิริพรรณ อตัญธี ร้านของเธออยู่ที่ 35 ซอยบงกช 30 หมู่ 2 ต.คลองสอง อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี 12120 โทร.0-2901-8369, 08-9925-6312 หรือดูใน www.bansalapao.com ซึ่งเจ้าของอาชีพขายซาลาเปารายนี้ต้องถือว่าพลิกแพลงได้น่าสนใจไม่น้อย.

สุภา รัตน์ ยอดศิริวิชัยกุล : รายงาน/ จเร รัตนราตรี : ภาพ
หนังสือพิมพ์ เดลินิวส์

กระดุม (1) กระเป๋าหนัง (1) กระเพาะปลาน้ำแดง (1) กระยาสารท (1) กับข้าวถุง (1) กาแฟชัก (1) การประกอบอาชีพอิสระ (1) การเพาะ เห็ด (1) ขนมเค้ก (1) ขนมโบราณทำเงิน (1) ขนมเปี๊ยะ (1) ขนมเปี๊ยะอบเทียน (2) ขยะ ลวด (1) ของฝาก (1) ขาย (1) ขายคล่อง (2) ขายความสนุก (1) ขายน้ำผลไม้ ปั่น (1) ขายปลาทูนึ่ง (1) ขายไอเดีย (1) ข้าวซอย (1) คลับแอสทีเรีย (1) เครื่องดื่ม (2) โคมไฟดินหอม (1) งาน (2) งานขายไอเดียราคาดี (1) งานประดิษฐ์ (2) งานผ่าน เน็ต (1) งานไม้ (1) งานเสริม (1) จ๊อปลาทู (1) จากดินญี่ปุ่น (1) ซองใส่มือถือ (1) ซาลาเปา (1) ซีฟู้ดกระทะ (1) โดนัทเค้ก (1) ติดตู้เย็น (1) ติดเสื้อ (1) ตุ๊กตา ถุงเท้า (1) ตุ๊กตาไทย (1) ตุ๊กตาไม้โย โย่-ล้มลุก (1) ตุ๊กตาโยโย่ (1) ตู้(เรือ)ปลา (1) ถักทอจินตนาการ (1) ถั่วแดงเย็น (1) ทองพับ (1) ทอลูกปัด (1) ทับทิม กรอบรวมมิตร (1) ทำธุรกิจอะไรดีจึงจะรวย (1) ทำไม่ยาก (1) ทำเองได้ (1) ที่ติดตู้ เย็น (1) ทุนต่ำ (1) เทียนหอมกัน ยุง (1) ธุรกิจแฟรนไชส์ (1) น่ารักๆ (1) น้ำ เงี้ยว (1) น้ำบ๊วย (1) บะหมี่-เกี๊ยว (1) บีบี (1) บุฟเฟ่ต์ (1) เบเกอรี่ (1) ประดิษฐ์ ดอกไม้ (1) ปาท๋องโก๋เกลียว (1) เป็นอาชีพเสริม (2) แปรรูปผลไม้ (1) ผีเสื้อ ใบยาง (1) พลิกแพลง (1) พวงมาลัยสบู่ (1) เพนท์สี (1) เพื่อสุขภาพ (1) มนุษย์ เงินเดือนมืออาชีพ (1) มีสูตรเด็ดขายที่ไหนก็รวย (1) แมงมุม (1) ย้อมผ้าแบบญี่ปุ่น (1) ยาโมโน ซาชิ (1) ยำทรงเครื่อง (1) รวย (1) รอง เท้านินจา (1) ราคาดี (2) รายได้ (1) รายได้พิเศษ (2) รายได้สวย สร้างรายได้ (4) รายได้เสริม (4) โรตีสไตล์พิซซ่า (1) ลองกอง (1) ลูกเดือยทอดกรอบ (1) ลูกหยีกวน (1) เลี้ยง ผึ้งจิ๋ว (1) วันแม่ (1) สมุนไพรทำเงิน (1) สร้างรายได้ (23) สร้างเลียนแบบ (1) สร้างอาชีพ (11) สินค้าแปรรูป (2) สูตรปักษ์ใต้ (1) ไส้แกง (1) หน้ากากบีบี (1) อาชีพ (1) อาชีพเสริม (29) อาชีพอิสระ (4) อาหารก๊อปปี้ (1) ไอเดียเก๋ไก๋ (1) ไอเดียแปลก (1) ไอศครีมทุเรียน (1) Happy Cake (1)

ผู้ติดตาม

..