วันอาทิตย์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2553

กระดุม แมงมุม ติดเสื้อ...ติดตู้เย็นเก๋ซ่ะ...

วันนี้เรามาเพิ่มความสดใสให้กับบ้านกับเครื่องแต่งกายของเรากันให้ดูน่ารัก กุ๊กกิ๊กกันบ้างดีกว่า อย่าเพิ่งงงกับสิ่งที่เราบอกว่า เพิ่มความสดใสให้กับเสื้อผ้าและบ้านคุณ เพราะเจ้ากระดุมน้อยนี่สามารถแปลงร่างกลายเป็นกระดุมติดเสื้อ หรือแปลงร่างอีกรอบกลายเป็นกระดุม ติดตู้เย็น อ๊ะๆอย่า งง เป็นรอบที่ 2 ไปดูวีทำกันด่อนดีกว่า...ลุย

อุปกรณ์ที่ใช้ก็ หาซื้อได้ตามห้างร้านทั่วไป
- กระดุมจำนวนตามต้องการ
- โดเค็ม ที่ทำเตรียมไว้แล้ว หรือดินน้ำมันสีเขียว ดำ ขาว
- วานิชหรือสเปรย์เคลือบเงา
- แปรงทาสี
- มีดคมๆ
- ไม้นวดแป้ง


วิธี ทำลองทำตามขั้นตอนและดูภาพประกอบ

1. นำดินน้ำมันมารีดเป็นแผ่นบางๆแล้วตัดออกเป็นรูปวงกลมให้กว้างพอสำหรับที่จะ นำมาห่อกระดุมที่เตรียมไว้ จากนั้นจัดการนำดินน้ำมันที่ตัดแล้วห่อกระดุมโดยให้ขอบของดินไปจรดอยู่ด้าน หลังกระดุม พยายามรีดให้ดูเรียบร้อยที่สุด

2. ใช้ดินสีดำที่เตรียมไว้แล้วมารีดเป็นเส้นบางๆไว้สำหรับทำขาแมงมุม เสร็จแล้ววางเรียงลงบนผิวหน้าดินน้ำมัน

3. นำดินสีดำปั้นเป็นรูปวงกลมแล้วกดลงตรงกลางเพื่อทำเป็นตัวแมงมุม

4. นำดินสีขาวมาปั้นเป็นรูปวงกลมขนาดเล็กเพื่อทำเป็นตาขาว และสีดำปั้นเป็นรูปวงกลมที่เล็กกว่าเพื่อทำเป็นตาดำ ติดลงบนตัวแมงมุม อาจใช้แม่เหล็กติดด้านหลังใช้สำหรับติดตู้เย็นก็ได้

ขอ ขอบคุณบทความดี ๆ ทางอาชีพ

แหล่งที่มา : http://cityvariety.com/idea/?id=26

การประกอบอาชีพอิสระดีอย่างไร

การประกอบอาชีพอิสระ ดีอย่างไร
1. เป็นเจ้านายตนเอง ใช้ความรู้ความสามารถได้อย่างเต็มที่
2. กำหนดการทำงานเอง
3. รับผิดชอบกิจการเองทั้งหมด
4. สามารถตัดสินใจเรื่องต่าง ๆ อย่างเต็มที่
5. รายได้ไม่จำกัด

คุณสมบัติของการเป็นผู้ประกอบอาชีพอิสระ
1. กล้าเสี่ยง อาชีพอิสระเป็นการประกอบธุรกิจส่วนตัว
จึงต้อง มีการลงทุน ในขณะที่ตัวเป็นลูกจ้าง ไม่ต้องลงทุนอะไร
ซึ่งการลงทุน ย่อมมีความเสี่ยง เพราะไม่รู้ว่าผลลัพท์จะออกมา
อย่างไร ดังนั้น ก่อนที่จะตกลงใจประกอบ อาชีพใด จึงต้อง
พิจารณา วิเคราะห์ และไตร่ตรองอย่างดีเสียก่อน
2. มีความคิดสร้างสรรค์
การประกอบอาชีพอิสระมิ ได้ยึดติดกับรูปแบบ
ใด ๆ เนื่องจากผู้ประกอบอาชีพอิสระต้องเป็นนายของตนเอง
ฉะนั้นในการ ปรับปรุงสินค้าหรือบริการ สามารถทำได้อย่างมีอิสระ
เพื่อให้ได้มาซึ่งกำไร ในการดำเนินธุรกิจ
3. มีความเชื่อมั่นในตนเอง
ธุรกิจ แต่ละประเภทต้องการ การตัดสินใจที่แตกต่างกัน
ผู้ประกอบอาชีพอิสระจึง ต้องเป็นผู้ที่มีความเชื่อมั่นในตนเอง
ในภาวะการณ์ที่ตลาดมีการ เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
ธุรกิจบางประเภท สามารถสวนกระแสเศรษฐกิจโดยรวมได้ ดังนั้น
ผู้ประกอบอาชีพอาชีพ อิสระจึงต้องมีความมั่นใจ เพื่อจะได้พา
ธุรกิจของตนให้ผ่านพ้น อุปสรรคต่าง ๆ ได้
4. อดทน ไม่ท้อถอย
การประกอบ อาชีพทุกอย่างย่อมมีทั้งกำไร และ ขาดทุน โดยเฉพาะ
เมื่อเริ่มประกอบการ ใหม่ ๆ จะต้องประสบปัญหาและอุปสรรคบ้าง
ซึ่งถือว่าเป็นเรื่อง ธรรมดา ผู้ประกอบอาชีพจึงต้องพร้อมที่จะ
รับข้อผิดพลาด และนำมาแก้ไขด้วยความอดทน
5. มีวินัยในตนเอง การประสบความสำเร็จในอาชีพ ซึ่งเราเป็นเจ้าของ
กิจการเอง จำเป็นจะต้องมีวินัย มีกฎระเบียบการทำงานต้องสม่ำเสมอ
ถ้าขาดวินัย การประกอบอาชีพก็อาจไม่ประสบผลสำเร็จ การเป็น
ผู้มีวินัย นับเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้ประกอบอาชีพทุกประเภทเพราะ
วินัยจะเป็น สิ่งที่คอยกำหนดให็ผู้ประกอบการปฏิบัติงานตามแผนงาน
6. มีทัศนคติที่ดีต่ออาชีพ
ไม่ว่างานนั้นจะเป็นงาน ที่มีเกียรติหรือไม่ผู้ประกอบอาชีพอิสระจะต้อง
รักในงานที่ทำ และให้เกียรติกับงานนั้น ๆ เสมอ
7. มีความรู้ การประกอบอาชีพอิสระ
จะต้องรับรู้ข่าวสารอยู่ เสมอ เพื่อปรับตัวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง
ของโลกซึ่งเปลี่ยนแปลง ไปเร็วมาก ประโยชน์ของการรับรู้ข่าวสารจะ
ทำให้สามารถปรับปรุง ธุรกิจของตนเองให้ทันสมัยอยู่ตลอดเวลา
ผลที่ได้ก็คือกำไร
8. มีมนุษย์สัมพันธ์
การประกอบอาชีพอิสระจะ ต้องมีมนุษยสัมพันธ์อันดีเพื่อผลประโยชน์
ในธุรกิจของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นลูกค้า บุคคลรอบข้างหรือคู่แข่งขัน
ก็ตาม เพราะการมีมนุษย์สัมพันธ์อันดี จะทำให้มีความคล่องตัว
ในการดำเนิน งานเป็นอย่างดี
9. มีความซื่อสัตย์
ผู้ ประกอบอาชีพอิสระจะต้องมีความซื่อสัตย์และจริงใจต่อลูกค้า
การ บริการลูกค้าให้เกิดความประทับใจในการขายสินค้าหรือ
บริการและกลับมาใช้ บริการอีกเป็นหัวใจสูงสุด เพื่อผลประโยชน์
ต่อธุรกิจ และต่อตนเองในที่สุด
10. มีความรู้พื้นฐานในการเริ่มทำธุรกิจ
การที่จะทำอะไรสักอย่างหนึ่งเราควรได้รู้จักสิ่งที่จะทำ อย่างน้อย
ให้รู้ว่าทำจากอะไร ซื้อวัตถุดิบ จากไหนตลาดอยู่แหล่งใดและหาก
ต้องการทราบข้อมูล

ปัจจัยหลักของการ ประกอบอาชีพ
ปัจจัยของการเริ่มต้นประกอบอาชีพอิสระ คือ จะทำอาชีพอะไร
ต้องรู้อะไรต้องเตรียมตัวอย่างไร ดังนั้น ควรคำนึงถึงปัจจัยหลัก
ที่สำคัญก่อนเริ่มการ ประกอบอาชีพอิสระ
ปัจจัยแรก = คือทุน
ทุนคือสิ่ง ที่จะเป็นปัจจัยพื้นที่ของการประกอบอาชีพ
โดยจะต้องวางแผนแนวทาง การดำเนินธุรกิจไว้ล่วงหน้าเพื่อให้
ทราบว่าจะต้องใช้เงินทุน ประมาณเท่าไร แล้วพิจารณาว่า
มีเงินทุนเพียงพอหรือไม่ ถ้าไม่พอจะหาแหล่งเงินทุนจากที่ใด
อาจได้จากการรวมหุ้นลง ทุนกันในหมู่ญาติพี่น้อง และเพื่อนฝูง
หรือการกู้ยืมจากหน่วย ราชการ หรือสถาบัน การเงินต่าง ๆ
อย่างไรก็ตามในระยะแรก ไม่ควรลงทุนมากเกินไปเนื่องจาก
ยังไม่ทราบความต้องการ ของตลาดที่แท้จริง
ปัจจัยที่สอง = คือความรู้
หมายถึง ความรู้ในงานอาชีพที่จะมาประกอบอาชีพหากไม่ต้อง
ศึกษาและฝึกฝนขวนขวายหา ความรู้ โดยการเรียนจากสถาบัน
ที่ให้ความรู้ด้านอาชีพ ซึ่งมีทั้งของรัฐบาล และเอกชน หรือสมัคร
เรียนกับชมรมต่าง ๆ หรือทำงานเป็นลูกจ้างคนอื่น หรือทดลอง
ปฏิบัติด้วย ตนเอง เพื่อให้มีความรู้ เกิดทักษะ ความชำนาญ
และประสบการณ์ในการ ประกอบอาชีพนั้น ๆ
ปัจจัยที่สาม = คือการจัดการ
เป็น ความสามารถในการบริหารงานของแต่ละบุคคลในการ
จัดการเกี่ยวกับอาชีพ ของตนเอง เป็นสถานที่เกี่ยวข้องกับการ
วางแผน การทำงานในเรื่องคน เงิน เครื่องมือ เครื่องใช้ และ
กระบวนการทำ งานต่าง ๆ
ปัจจัยที่สี่ = คือการตลาด
ซึ่งเป็น ปัจจัยที่สำคัญอีกปัจจัยหนึ่ง เพราะ หากสินต้าและบริการ
ที่ผลิต ขึ้นไม่เป็นที่ติดหู ติดตาของผู้บริโภค ก็ถือว่ากระบวนการ
ทั้ง ระบบไม่ประสบผลสำเร็จ เนื่องจากไม่สามารถแปรสินค้า
และบริการเหล่านั้นให้ เป็นตัวเงินได้ ดังนั้นการวางแผนการตลาด
ซึ่งใน ปัจจุบันมีการแข่งขันสูง จึงควรได้รับการสนใจในการพัฒนา
เทคนิคด้าน ต่าง ๆ ให้ทันสมัย เพื่อให้เป็นที่สนใจของกลุ่มเป้าหมาย
ที่มา จากกรมการพํฒนากระทรวงมหาดไทย http://www.cdd.moi.go.th/Mahadthai/Work1.html

ตุ๊กตาไทย

ประวัติความเป็น มา

เดิมไม่ได้ประดิษฐ์ขึ้นสำหรับให้เด็กเล่น แต่มุ่งหมายจะใช้ในพิธีฝังศพ หรือบรรจุในสถานที่ที่ศักดิ์สิทธิ์ตามความเชื่อ ต่อมามีคนไปขุดพบจึงนำรูปปั้นกลับบ้านเพื่อมาฝากเด็ก เมื่อเด็กชอบ ผู้ใหญ่จึงทำขึ้นเพื่อให้เด็กได้เล่น จึงทำให้มีตุ๊กตาเกิดขึ้น

ประโยชน์ของ ตุ๊กตา

1. ใช้เป็นอุปกรณ์การศึกษาวิชาต่าง ๆ ได้หลายวิชา ไม่ว่าจะเป็นสังคมศึกษา วรรณคดีไทย นาฏศิลป์ไทย

2. ใช้ประกอบการจัดนิทรรศการในโอกาสต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับเมืองไทย

3. การสะสมตุ๊กตาไว้ชม นับว่าเป็นงานอดิเรกที่ให้ทั้งความรู้และความเพลิดเพลิน

4. ให้ความรู้ในด้านชีวิตความเป็นอยู่ของคนไทยในอดีตด้วยเช่นตุ๊กตาชาววัง

5. เป็นสื่อสำคัญในการเผยแพร่เกียรติภูมิและวัฒนธรรมไทยไปสู่ต่างแดน

6. ใช้เป็นของที่ระลึก

วัสดุอุปกรณ์

เช่น เครื่องปั้นดินเผา กระดาษ ไม้ระกำ ต้นนุ่นตายซาก กะลามะพร้าว ใบลาน เปลือกหอย ไม้แกะหรือกลึง แก้ว หญ้าปล้อง ผ้าเช็ดหน้า สำลีพันพลู เปลือกข้าวโพด เป็นต้น

ขั้น ตอนการทำตุ๊กตา

แต่ละชนิดแต่ละประเภทจะคล้ายคลึงกัน ซึ่งเจ้าของหรือศิลปินผู้ที่ปั้นตุ๊กตาจะไม่ค่อยเปิดเผยสูตรมากนัก จะบอกแต่ขั้นตอนพื้นฐานเท่านั้น..ซึ่งจะขอยกตัวอย่างสัก 2 แบบ คือ ตุ๊กตาสำหรับเด็กเล่นที่ทำด้วยกระดาษ กับตุ๊กตาชาววัง

1. เริ่มด้วยการปั้นหุ่นด้วยดินเหนียว โดยเริ่มจากการปั้นขาตุ๊กตาก่อน แล้วจึงขึ้นตัว ส่วนตัวนั้นมีพิมพ์กดเอาไว้

2. เสร็จแล้วนำดินไปผึ่งให้แห้ง ต้องระวังไม่ให้ถูกแดดจัด เพราะดินจะร้าวได้

3. นำไปเผาในเตาถ่านสุมไว้ตลอดคืน เพื่อให้ตุ๊กตาเย็นสนิท

4. นำมาลงสีผิวโดยใช้ฝุ่นผัดหน้าที่เรียกว่าฝุ่นจีน มาละลายน้ำจนข้น

5. แต่งหน้า ทาปาก เขียนเสื้อผ้าโดยใช้สีตามความนิยมของชาววัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเสื้อผ้าของผู้ใหญ่ ผู้หญิงจะต้องนุ่งห่มสีตัดกันตามวัน เช่น

- วันอาทิตย์ นุ่งแดงห่มเขียวหรือจะกลับกันก็ได้

- วันจันทร์ นุ่งม่วงหรือน้ำเงินห่มเหลือง วันอังคาร นุ่งชมพูห่มน้ำเงินหรือกลับกัน

- วัน พุธ นุ่งน้ำเงินห่มสไบเขียว

- วันพฤหัสบดี นุ่งน้ำเงินห่มแสดหรือกลับกัน

- วันศุกร์ นุ่งน้ำเงินห่มชมพูหรือบานเย็นคล้ายวันอังคาร

- วันเสาร์ ห่มสีม่วงนุ่งสีเหล็กหรือเทาแก่

ขอขอบคุณบทความดีๆทางอาชีพ

แหล่งที่มา : http://thaidoll0.tripod.com/history.html

ประดิษฐ์ ดอกไม้ จากดินญี่ปุ่น เหมือนของจริงมาก


เงินลงทุน ประมาณ 1,000 บาท (รวมวัสดุและอุปกรณ์แล้ว)

รายได้ ชิ้นละ 30 บาทขึ้นไป (ขึ้นอยู่กับขนาด จำนวนดอกและภาชนะที่ใส่)

วัสดุ/อุปกรณ์ ดินญี่ปุ่น (1 ก้อน = 250 กรัม ทำได้ประมาณ 30 ดอก) แบบพิมพ์ใบและดอก

สี น้ำมัน (สีเหลือง สีเขียว และสีชมพู) เหล็กกลึง ลวด กรรไกรปลายแหลม

กาว ลาเท็กซ์ใส กระถาง หญ้าแห้ง เครื่องรีดหรือขวด แผ่นกระจกใส

แหล่ง จำหน่ายวัสดุ/อุปกรณ์ ตลาดนัดสวนจตุจักร

วิธีทำดอกแคทลียา 1. นำดินญี่ปุ่นผสมสีเหลืองสำหรับทำดอก และสีเขียวสำหรับทำใบ นวดให้

เข้า กัน แล้วนำเข้าเครื่องรีดเพื่อให้เป็นแผ่นบาง (ใช้ขวดทรงกลมแทนได้

โดย วางดินบนแผ่นกระจกแล้วใช้ขวดนวดจนบาง)

2. นำพิมพ์ดอกและพิมพ์ใบมาปั้มบนดินที่รีดแล้วให้เกิดรูป กดแบบพิมพ์ลงไป

จาก นั้นแกะส่วนของดินที่ไม่ใช้ออก (ปั้นใส่ถุงพลาสติกเก็บไว้ใช้ได้)

3. นำส่วนของกลีบดอกมาขลิบด้วยกรรไกรปลายแหลมให้เกิดร่องเล็ก ๆ

4. นำเหล็กคลึงกดเบา ๆ เพื่อคลี่รอยขลิบให้เป็นร่องเล็ก ๆ

5. นำดินสีขาวมาปั้นเป็นเม็ดกลมเล็กที่ปลายของลวด แล้วนำไปสอดไว้ตรงกลาง

ของกลีบดอก ใน เพื่อทำเป็นเกสร

6. เมื่อทำกลีบดอกทั้งหมดตามจำนวนดอกที่ต้องการแล้ว นำกลีบมาเชื่อมติดด้วย

กาว ลาเท็กซ์ จากนั้นใช้สีชมพูแต้มตรงกลีบให้เหมือนสีดอกธรรมชาติ

7. นำใบที่พิมพ์แบบไว้มาเชื่อมติดกับลวด จากนั้นประกอบดอกและใบเข้าด้วยกัน

จะ ได้ต้นแคทลียา 1 ต้น

8. ทำส่วนของใบที่จะใช้ตกแต่งเพิ่มเตรียมไว้ แล้วใช้ดินญี่ปุ่นสีเขียวพันกับลวด

และใช้ดินสีเขียวอ่อนพันทับอีก ชั้นเพื่อทำเป็นรากแคทลียา

9. ตัดโฟมตามรูปกระถางแล้วนำโฟมใส่ลงในกระถาง จากนั้นนำดอกที่ประกอบ

เสร็จ แล้วปักลงในกระถางพร้อมด้วยใบและราก และตกแต่งให้สวยงามโดย

แซมด้าน บนด้วยหญ้าแห้งหรือกากมะพร้าว

ตลาด/แหล่งจำหน่าย ห้างสรรพสินค้า ออกร้านตามงานต่าง ๆ

ข้อเสนอแนะ 1. จะต้องสร้างสรรค์งานใหม่ ๆ ซึ่งสามารถขายในช่วงเทศกาลสำคัญ เช่น

ดอกมะลิ (วันแม่) ดอกกุหลาบแดง (วันแห่งความรัก) ดอกทิวลิป ดอกบัว

ดอกกล้วยไม้ประเภทอื่น ๆ ได้แก่ ช้างแดง ช้างกระ เป็นต้น

2. สามารถปรับเป็นส่วนประกอบในการผลิตผลิตภัณฑ์อื่น เช่น ที่ติดตู้เย็น

ต้นไม้ จิ๋ว
ขอบคุณที่มาของบทความ อาชีพเสริม http://lib-krabi.tripod.com/income/p7.htm

"มนุษย์ เงินเดือนมืออาชีพ"


อ่านพบข้อเตือนใจสำหรับ "มนุษย์เงินเดือนมืออาชีพ" ซึ่งเตือนใจไว้หลายประเด็นต่างๆ แต่ผมพยายามเลือกตัดตอนออกมาเพียง 30 ข้อ (ที่ผมสนใจ)เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันครับ


1. มีสังคมกว้าง ทันโลกทันเหตุการณ์
2.จงภูมิใจกับสิ่งที่ท่านเป็นอยู่ มีอยู่ ได้อยู่มากกว่าถามหาสิ่งที่ยังไม่เป็น ยังไม่มี หรือยังไม่ได้
3. ต้องปรับอารมณ์ให้เข้ากับบทบาทของงานในตำแหน่งที่ได้รับมอบหมาย
4. ต้องคิดว่า "ทุกครั้งที่ทำเต็มที่ เราได้มากกว่าองค์กร"
5.ต้องไม่เอาผล ตอบแทนเป็นตัวนำ เพราะจะทำให้บทบาทการแสดงเปลี่ยนไป
6. เรียนลัดจากคนเก่าและเอกสาร
7.อย่าคบคนเพียงกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเพียงกลุ่ม เดียว
8. เข้าร่วมกิจกรรมให้มากที่สุด
9.อย่าเพิ่งแสดงความคิดเห็นใน เชิงลบ
10. คิดเข้าข้างตัวเอง
11.คิดถึงสิ่งที่แย่กว่า
12.การคิด บวกถือเป็นพื้นฐานที่สำคัญสำหรับคนที่อยากจะเป็น "มนุษย์เงินเดือนมืออาชีพ" คนคิดลบเปรียบเสมือนถังขยะที่เก็บแต่สิ่ง ที่ไร้ค่าในขณะที่ …คนคิดบวกเปรียบเสมือนคลังสมบัติที่เก็บแต่สิ่งที่ล้ำค่า จงทำงานให้มากกว่าเงินเดือน
13. ทำมาก...ได้ประสบการณ์มาก ทำมาก... ได้สร้างผลงานให้ปรากฏ ทำมาก…มีโอกาสเป็นบุคคลสำคัญขององค์กรมาก ทำมาก...สบายในภายหลัง
14. ปัจจัยภายใน คือความพร้อมของตัวเราเอง
15. คิดและเตรียมสิ่งใหม่ๆ ไว้ล่วงหน้า
16.มองไปข้างหน้าให้มากกว่ายึดอยู่ กับอดีตและติดอยู่กับปัจจุบัน
17. คิดเสียว่าไม่มีใครอยู่กับเราตลอดชีวิต
18.ความเจ็บปวดช่วยสร้างคุณค่า ของการมีชีวิตเป็นปกติฉันใดการขัดแย้งกันบ้าง จะช่วยสร้างคุณค่าของความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันฉันนั้น
19.ลด ละ เลิก ค่านิยม "ใช้ก่อนผ่อนทีหลัง"
20.วางแผนการเก็บเงิน โดยใช้เทคนิคง่ายๆ คือ "หลัก 3 บัญชี" คือให้เปิดบัญชี 3 บัญชี ดังนี้ ****
บัญชีที่ 1 คือบัญชีที่เงินเดือนเข้าไว้กดเอทีเอ็มสำหรับค่าใช้จ่ายแต่ละเดือน
บัญชี ที่ 2 คือบัญชีเงินออมเพื่อฉุกเฉิน เร่งด่วน(อาจจะเป็นออมทรัพย์ก็ได้)
บัญชี ที่ 3 คือบัญชีเงินออมเพื่อออกจากงานหรือออมเพื่ออนาคต


21.ไม่ มีความทุกข์ใดจะหนักและหนาเท่ากับการผ่อนหนี้ที่ก่อขึ้นมาจากความโลภและไม่ ประมาณตนเอง
22. จงพอใจในผลประโยชน์ที่ได้รับ
23. จงคิดว่าถ้าบริษัทเป็นของเรา เราจะทำหรือไม่
24.จงชมตัวเองทุกครั้งที่ รักษาจรรยาบรรณไว้ได้
25. จงสอนตัวเองโดยผ่านการสอนคนอื่น
26.อย่า เห็นแก่ประโยชน์แม้เพียงเล็กน้อย
27.อย่าทำเพราะคนอื่นเขาทำกัน
28.อย่า คิดว่าทำแล้วไม่มีใครรู้ใครเห็น
29. เปลี่ยนปัญหาให้เป็นความท้าทาย
30.อย่า เปิดช่องว่างให้ความเบื่อเข้ามาแทรก อย่าระบายอารมณ์ลงที่งานและคนอื่น

ขอ เพิ่มเติมข้อเตือนใจพิเศษสำหรับคนวัยใกล้เกษียณอย่างผม ที่เขามีข้อเตือนใจว่า
จำนวนวันทั้งหมด ตั้งแต่อายุ 56 (หลังเกษียณ) ถึง 80=25 ปีคูณ 365 วัน = 9,125 วัน
ดังนั้นเงินที่จำเป็น ต้องใช้เพื่อประทังชีวิตอยู่ขั้นต่ำเท่ากับ 9,125 คูณ 170 = 1,551,250 บาท เงินจำนวนนี้ยังไม่รวมค่าใช้จ่ายที่สำคัญอื่นๆ เช่น ค่ารถ ค่าซ่อมรถ ค่าผ่อนบ้าน ค่าซ่อมบ้าน ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ ค่าเสื้อผ้า ฯลฯ และที่สำคัญที่สุดคือ ค่ารักษาพยาบาลสำหรับตัวเอง

ไอเดียแปลก ไอศครีมทุเรียน 100%


ไอศกรีม ทุเรียน 100% ทรงไข่ กลยุทธ์การตลาด สู้ภาวะผลไม้ล้น

ปกติ ผลไม้ภาคตะวันออกอยู่ในภาวะล้นตลาดทุกปี ส่วนหนึ่งที่ชาวสวน นักธุรกิจส่งออก พ่อค้า ทำกันมากคือ แช่แข็งแล้วส่งออก แต่สำหรับคุณมรุตแล้ว เขาว่า แค่นั้นคงไม่พอ


งานแสดงอาหารใหญ่ ประจำปี "Thaifex-World of food ASIA 2009" ที่จัดโดยกรมส่งเสริมการส่งออก ร่วมกับหอการค้าไทย และโคโลญ เมสเซส ที่ศูนย์แสดงสินค้าอิมแพค เมืองทองธานี มีบริษัท ผู้ประกอบการ ด้านอุตสาหกรรมอาหารเข้าร่วมมากมาย

บู๊ธแสดง สินค้าบู๊ธหนึ่งที่ได้รับความสนใจค่อนข้างมากจากผู้เข้าร่วมชมงาน ได้แก่ บู๊ธที่วางแสดงสินค้าหน้าตาคล้ายไข่เป็ด ไข่ไก่ แถมยังอยู่ในแผงพลาสติคที่ใส่ไข่เป็ด ไข่ไก่ซะด้วย แต่เมื่อเหลือบมองเข้าไปภายในบู๊ธ กลับมีผลไม้จากภาคตะวันออก ทั้งเงาะ มังคุด ทุเรียน สละ นำมาจัดแสดงด้วย

ถามเจ้าหน้าที่ประจำบู๊ธ ได้ความว่า นี่ไม่ใช่ไข่เป็ด ไข่ไก่ แต่เป็นไอศกรีมทุเรียน มะพร้าว และมะม่วง อ้าว!...เป็นงั้นไป

เมื่อได้ความดังนั้น จึงมีคำถามตามมาอีกมากมาย หนึ่งในคำถามนั้นคือ แล้วจะกินอย่างไร ต้องผ่าออกมาหรือเปล่า มีไอศกรีมอยู่ข้างในใช่หรือไม่

เจ้าหน้าที่ จึงตอบคำถามพร้อมสาธิตให้ดูว่า เพียงแต่ใช้ไม้จิ้มไปที่ไข่ เยื่อพลาสติคบางใสและลอกออกมา กลายเป็นไอศกรีมผลไม้ล้วนๆ และไอศกรีมที่ว่านี้เป็นไอศกรีมผลไม้ 100 เปอร์เซ็นต์ ไม่มีส่วนผสมอื่นใด มีแต่เนื้อผลไม้เท่านั้น

เจ้าของไอเดีย และเจ้าของธุรกิจ คุณมรุต ชโลธร เผยว่า เขาและเครือญาติมีสวนผลไม้อยู่ที่จังหวัดจันทบุรี ทั้งเงาะ มังคุด ทุเรียน สละ ปกติขายทั้งในประเทศ และส่งออกต่างประเทศ รวมทั้งผลิตผลไม้แปรรูปด้วย

"การแปรรูปก็ทำแบบผลไม้แปรรูปทั่วไป บางส่วนก็แช่แข็ง เพราะในแต่ละปีมีผลไม้ออกมามาก ที่นี้ เราก็มองว่าเราจะครีเอท แวลู่ หรือจะสร้างสรรค์ให้มีคุณค่าเพิ่มขึ้นอย่างไร เพราะปัจจุบันนี้ เพียงแต่แอดแวลู่อย่างเดียวไม่พอแล้ว เราก็เริ่มมองไปที่ตัวสินค้าก่อน คำว่า ไอศกรีม เป็นสิ่งที่ทุกคนยอมรับ และเป็นของหวานที่ทุกคนชื่นชอบ ขณะเดียวกัน ก็มีด้านลบต่อสุขภาพ คือน้ำตาลมาก และมีส่วนผสมหลายอย่างที่เป็นสารสังเคราะห์ สรุปก็คือไม่ใช่สินค้าในกลุ่มเพื่อสุขภาพแน่นอน เราก็เลยมองว่า จะทำอย่างไรให้ผลไม้มาอยู่ในรูปของไอศกรีมที่เน้นความเป็นธรรมชาติร้อย เปอร์เซ็นต์"

และนี่คือที่มาของไอศกรีมผลไม้ ที่ทางผู้ประกอบการเน้นว่า เป็นธรรมชาติ 100 เปอร์เซ็นต์ โดยในช่วงต้น ทำออกมา 3 รสชาติ ได้แก่ ทุเรียน มะม่วง และมะพร้าวอ่อน



ผล ไม้ล้นตลาดทุกปี

แค่แช่แข็ง ส่งออก คงไม่พอ

"เราพัฒนาทั้ง 3 ตัวนี้มา ก็เป็นเนื้อผลไม้ล้วนๆ นั่นหมายความว่า เราได้ปฏิวัติวงการไอศกรีมให้เป็นธรรมชาติล้วน"

คุณมรุต บอกอีกว่า ปกติ ผลไม้ภาคตะวันออกอยู่ในภาวะล้นตลาดทุกปี ส่วนหนึ่งที่ชาวสวน นักธุรกิจส่งออก พ่อค้า ทำกันมากคือ แช่แข็งแล้วส่งออก แต่สำหรับคุณมรุตแล้ว เขาว่า แค่นั้นคงไม่พอ

"เราอยู่เมืองจันท์ เราก็อยากจะช่วย แต่คงต้องหาอะไรที่ใหม่ที่สุด สิ่งที่เราได้แล้วคือ ตัวเนื้อไอศกรีมที่ใหม่ เป็นผลไม้ 100 เปอร์เซ็นต์ แต่ถ้าจะมาใส่แพ็กเกจจิ้งเก่าๆ มันก็ไม่เป็นจุดขาย ถ้าคนที่จะทานไอศกรีม จะนึกแค่ อยู่ในโคน ถ้วย หรือตัดกิน หรือทำซอร์ฟเสิร์ฟ เรากลับมองว่าเอ๊ะ ทำอย่างอื่นได้มั้ย จากนั้นก็สร้างกิมมิกว่า ถ้ามันเป็นไข่ล่ะ จะเป็นอย่างไร"

ดังนั้น ไอศกรีมผลไม้ รสทุเรียน มะม่วง และมะพร้าวอ่อน ในรูปไข่เป็ด ไข่ไก่ จึงออกมาด้วยประการฉะนี้ (ถ้าเป็นรสมะม่วงมีสีเหลือง จะคล้ายไข่ไก่มาก)

คุณมรุต เล่าอีกว่า " สำหรับผู้บริโภคเองเดินผ่านมา ก็จะถามว่า อะไรน่ะ ไข่หรือเปล่า บางคนนึกไปถึงไข่ข้าวหรือไข่ที่ผ่านการผสมแล้ว บางคนเดินผ่านไปแล้ววกกลับมา เรียกเพื่อนมาดูด้วยว่าเป็นอะไร ยิ่งถ้าเราบอกว่าเป็นทุเรียน เป็นไอศกรีมทุเรียนร้อยเปอร์เซ็นต์ เค้าก็จะบอกว่า เอ้ย! จริงเหรอ...ไม่น่าเชื่อ...นี่คือกิมมิกทางการตลาดที่เราคิดขึ้นมา นั่นคือ เราจะสร้างประสบการณ์ใหม่ เป็นลักษณะเฉพาะไม่เหมือนใคร ดังที่เราให้สโลแกนไว้ว่า More than just ice-cream With a unique eating experience"

เมื่อจะรับประทานไอศกรีมที่ว่านี้ เพียงแต่เอาไม้จิ้มไปที่ตัวไข่ เยื่อพลาสติคใสก็จะหลุดออกโดยง่าย เจ้าหน้าที่ประจำบู๊ธ อธิบายว่า เป็นอีลาสติก รับเบอร์ (หรือยางที่มีความยืดหยุ่น) เมื่อพลาสติคใสหลุดออกไปแล้ว สิ่งที่ได้คือ ไอศกรีมผลไม้ 100 เปอร์เซ็นต์

"อีลาสติก รับเบอร์นี้ เป็นฟู้ดเกรด คือรับประกันว่าห่อหุ้มอาหารได้ นี่เป็นจุดหนึ่งที่ผู้บริโภคกังวลว่าจะมีอันตรายมั้ย แต่เราส่งตรวจเรียบร้อยแล้ว โดยใช้ระดับมาตรฐานสากลว่าปลอดภัย" คุณมรุต เผย และบอกอีกว่า

"โปรเจ็คต์นี้เริ่มมาตั้งแต่ต้นปีที่แล้ว ใช้เวลาปีกว่าๆ ในการวิจัยและพัฒนา ขณะนี้ ตอนนี้อยู่ในช่วงทำกลยุทธ์ทางการตลาด เรากำลังหาลู่ทางเพื่อส่งออก และดูว่าในประเทศเราจะกระจายสินค้าอย่างไร"

แล้วเล็งไปที่ไหนบ้าง นั่นเป็นคำถามที่ถามออกไป ผู้ประกอบการรายนี้ ตอบว่า "จริงๆ ตอนนี้มีหลายทางเลือก เรายังไม่ได้สรุป ที่มาออกงาน Thaifex ครั้งนี้ แค่ต้องการดูผลตอบรับ ก็ปรากฏว่าได้รับผลตอบรับดีมาก เรามีบู๊ธเล็กๆ แต่ทุกคนที่เดินผ่านไป ก็จะเดินย้อนกลับมาด้วยความสะดุดตา สะดุดใจ"



ทำทุเรียนให้กลิ่นอ่อนลง

จับกลุ่มลูกค้าให้กว้างขึ้น

สำหรับ กลุ่มลูกค้าต่างชาตินั้น เขาว่า มีผู้ซื้อชาวต่างชาติติดต่อเข้ามาเยอะมาก จากหลายๆ ประเทศ โดยเฉพาะประเทศที่ชื่นชอบทุเรียนเป็นหลัก เช่น ฮ่องกง ไต้หวัน จีน สิงคโปร์ ส่วนชาติตะวันตก จะมีภาพติดลบกับทุเรียนเป็นส่วนใหญ่ ดังจะเห็นได้จาก ป้ายห้ามนำทุเรียนเข้าไปในสถานที่ต่างๆ ทั้งรถเมล์ รถไฟ สนามบิน โรงแรม ฯลฯ เรียกว่า ในส่วนที่เป็นห้องปรับอากาศทั้งหมด เป็นส่วนต้องห้ามของผลไม้นาม "ทุเรียน"

"พอจบโปรเจ็คต์นี้ เรากำลังจะมีโปรเจ็คต์หน้าคือ Soft aroma durian คือเราจะพัฒนาว่า จะทำให้กลิ่นทุเรียน อ่อนลงได้อย่างไร เพื่อต้องการเจาะกลุ่มผู้บริโภคที่ไม่ชอบในกลิ่น แต่อยากลองในรสชาติ ซึ่งเป็นเรื่องที่เรากำลังอยู่ในขั้นวิจัยและพัฒนา"

ทุเรียนย่อมมี กลิ่นแรงเป็นธรรมชาติอยู่แล้ว ดังนั้น การพัฒนาในครั้งนี้จะเป็นการฝืนธรรมชาติหรือไม่นั้น คุณมรุตว่า

"จริงๆ แล้ว ความต้องการนี้มาจากผู้บริโภค ถามว่าจะฝืนธรรมชาติมั้ย ผมขอเรียนอย่างนี้ว่า ปรากฏการณ์ของคนที่กินทุเรียน เรียกว่า ทุเรียนเอฟเฟ็กต์ คือจะรักหรือจะเกลียดทุเรียนมาจากการได้กลิ่นในครั้งแรก หมายความว่า คนที่ชอบ เมื่อทานปุ๊บแล้วชอบเลย อร่อย ส่วนที่ไม่ชอบคือ กินแล้วก็ไม่ชอบ ถึงขั้นเกลียด ดังนั้นจะเห็นได้ว่า ทางด้านการตลาดนี่ชัดเจน ดังนั้น ทุเรียนจึงเป็นสินค้าตัวแรกที่เราเลือกขึ้นมาเป็นจุดขาย นั่นหมายความว่า คนที่ เป็นทุเรียนเลิฟเวอร์ หรือหลงรักรสชาติทุเรียน นี่จะกระโดดเข้าใส่เลย อย่างคนจีนที่ชอบมาก บางคนมาซื้อลูกเดียวไม่พอ"

"ในทางกลับกัน เรามองว่า เราพัฒนาทุเรียนเป็นตัวแรก ด้วยความที่ได้สินค้าแปลกใหม่ ก็โอเค แต่พอไปเจอเรื่องกลิ่น ก็เป็นปัญหา จึงต้องมีการวิจัยและพัฒนาเข้ามาช่วยในส่วนที่ช่วยได้ อย่างที่ ทำให้เป็นซอร์ฟอโรมา คำว่า ซอร์ฟอโรมา ไม่ได้หมายความว่า ทำให้ทุเรียนไม่มีกลิ่น แต่ทำให้กลิ่นเบาลง อ่อนลง"

ปกติคนที่ชอบรับ ประทานทุเรียน จะมี 3 พวกใหญ่ๆ คือชอบทุเรียนห่ามๆ กรอบ กลุ่มนี้จะไม่ได้รสหวาน ไม่ได้กลิ่น พวกที่สอง คือพวกที่ชอบระดับกลางๆ จะได้ครบทั้งรสชาติและกลิ่น ส่วนพวกที่สาม คือชอบแบบสุก จะได้ทุเรียนรสหวานจัด กลิ่นฉุน ในระดับที่เรียกทุเรียนผลนั้นว่า "เป็นปลาร้าแล้วนะจ๊ะ"

"จะมีอีกพวกหนึ่งคือ อยากจะลิ้มรสความหวาน แต่สู้กลิ่นไม่ไหว เราอยากให้เค้าได้ลิ้มรสสักนิดหนึ่ง ทุเรียนนี่เป็นคิงออฟฟรุตนะครับ ถ้าเป็นเราไปเจอราชาแห่งผลไม้ที่ประเทศไหน เราก็อยากลอง แต่ถ้าต้องบีบจมูกกิน มันก็ไม่ควรเป็นอย่างนั้น"

การ วิจัยและพัฒนาในครั้งนี้ คุณมรุต เผยว่า ได้ร่วมพัฒนาเครื่องต้นแบบ กับบริษัทเล็กๆ จากประเทศญี่ปุ่นบริษัทหนึ่ง ซึ่งเป็นเอสเอ็มอีเหมือนกัน

ดู เหมือนว่า ในส่วนตัวผู้ประกอบการเอง ออกจะได้เปรียบในเรื่องการประสานเทคโนโลยีกับประเทศญี่ปุ่น เนื่องจากเขาจบการศึกษาระดับปริญญาตรี ทางด้านวิศวกรรมไฟฟ้า จากประเทศญี่ปุ่น

"ผมไม่ได้เรียนมาทางด้านวิทยาศาสตร์การอาหาร แต่มาทำตรงนี้ บางคนถามว่า ไม่ได้เรียนมา แล้วทำได้ด้วยเหรอ ผมตอบว่า ที่ผมทำได้เพราะไม่ได้เรียนมา เพราะผมคิดว่า การที่ผมเรียนมาทางวิศวกรรม ไม่มีพื้นฐานทางด้านวิทยาศาสตร์การอาหาร ทำให้ผมกล้าคิดนอกกรอบ คือถ้าจบทางด้านอาหารมาโดยตรง อาจจะมองแค่ในกรอบ การมองนอกกรอบ เราอาจจะต้องถอยออกมาแล้วมองเข้าไป ฉะนั้น ผมคือคนนอก ไม่ได้อยู่ในวงการ เป็นแค่ลูกชาวสวนผลไม้ที่ต้องการกลับไปพัฒนาให้กับชาวสวนเมืองจันท์"

สำหรับ ไอศกรีมผลไม้ ทั้ง 3 รสชาติในรูปไข่ คุณมรุตวางราคาขายส่งหน้าโรงงานไว้ที่ ลูกละ 15 บาท แต่ถ้าขายปลีกทั่วไป น่าจะอยู่ที่ลูกละ 30-35 บาท แล้วแต่ทำเล

"ตัว ไอศกรีมผลไม้รูปไข่ ใช้เวลาวิจัยและพัฒนา ปีเศษๆ ตอนนี้อยู่ในช่วงเช็คผลตอบรับ ซึ่งก็มีผู้ประกอบการหลายเจ้าที่ต้องการเป็นตัวแทนจำหน่ายซึ่งเราอยู่ใน ระหว่างการพิจารณา"

และนี่เป็นอีกหนึ่งการให้ไอเดีย สร้างคุณค่าให้กับสินค้า ถ้าบอกว่าเป็นไอศกรีมรสทุเรียน คงจะดูเป็นสินค้าพื้นๆ ธรรมดาๆ ที่ไม่น่าตื่นเต้นอะไร แม้กระทั่งจะบอกว่า เป็นผลไม้ 100 เปอร์เซ็นต์ ก็เชื่อว่ามีผู้ประกอบการรายอื่นทำออกมาบ้างแล้ว แต่นี่เป็นไอศกรีมผลไม้ 100 เปอร์เซ็นต์ อยู่ในบรรจุภัณฑ์รูปทรงไข่ แถมยังวางไข่ ในรังไข่พลาสติคที่ดูยังไงก็เป็นไข่ แต่ไม่ใช่ไข่

การ สร้างความสนใจ ความประทับใจเมื่อแรกเห็นนี้เอง ที่ทำให้ผู้บริโภคหันมามอง หันมาพิจารณา กระทั่งต้องการชิม และนำไปสู่การค้าขายต่อไป

มีสินค้า ธรรมดาๆ พื้นๆ อีกมากมาย ที่รอให้ผู้สร้างสรรค์งานเข้าไปพัฒนา เข้าไปจับมาแต่งตัวใหม่ เพื่อให้ต่อสู้ในทางการตลาดได้มากขึ้น และไม่แน่ว่า ผู้สร้างสรรค์งานรายต่อไป อาจเป็นคุณ!!!

สนใจติดต่อสอบถามได้ที่ บริษัท อินโนเวทีฟ ฟู้ด แพ็คเกจจิ้ง จำกัด เลขที่ 65 ถนนเพชรเกษม วัดท่าพระ บางกอกใหญ่ กรุงเทพฯ 10600 โทร. (02) 467-4214-5



การลงทุน ขายไอศกรีมผลไม้รูปไข่

1. รูปแบบซื้อมา ขายไป ราคาขายส่งหน้าโรงงาน ชิ้นละ 15 บาท สามารถนำไปขายได้ราคาชิ้นละ 30-35 บาท แล้วแต่ทำเล

2. นำไปขายเสริมในร้านอาหาร ซึ่งอาจจะมีตู้แช่อยู่แล้ว

3. ซื้อตู้แช่เพื่อขายไอศกรีม ราคาตู้แช่ ประมาณ 20,000 บาท

4. ลงทุนกับทางบริษัท 20,000 บาท สิ่งที่จะได้คือ ตู้แช่ และคีออส โดยใช้พื้นที่ขายประมาณ 2 ตารางเมตร (ทางคุณมรุตให้ข้อมูลว่า จริงๆ แล้ว ตัวเลขการลงทุนลักษณะนี้ประมาณ 30,000 บาท แต่ทางบริษัทต้องการช่วยผู้ประกอบการ 10,000 บาท จึงตั้งตัวเลขการลงทุนไว้ที่ 20,000 บาท)

5. สั่งซื้อสินค้ากับทางบริษัท ตั้งแต่ 1,000-1,500 บาท ทางบริษัทจัดส่งให้ฟรี ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล

6. ทำเลที่น่าสนใจมากที่สุด ได้แก่ สถานที่ท่องเที่ยว ซึ่งมีชาวต่างชาติเดินทางมาท่องเที่ยวเป็นประจำ ได้แก่ พัทยา สมุย ภูเก็ต กระบี่ ตรัง เชียงใหม่ หาดใหญ่ ฯลฯ และทำเลที่น่าสนใจรองลงไปได้แก่ ใกล้สถาบันการศึกษา รวมทั้งแหล่งชุมชน

เครื่องดื่ม ถั่วแดงเย็น

ใครที่ชอบไปรับประทานสุกี้ตามร้านสุกี้คงทราบถึงความอร่อยของถั่วแดงเย็นดี ถั่วแดงเป็นพืชที่มีประโยชน์มาก มีทั้งสารอาหารโปรตีน ไขมัน คาร์โบไฮเดรต แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก วิตามีนเอ บี ซี มีสารอาหารมากขนาดนี้ ไม่ทำรับประทานคงไม่ได้แล้ว ถ้าทำขาย เป็น อาชีพเสริมได้ ด้วยก็ท่าจะดี


ส่วนผสม

ถั่วแดงเม็ดใหญ่หรือเล็กก็ได้ 500 กรัม
น้ำตาลทราย 2 ถ้วยตวง
นมข้นจืดหรือหวานก็ได้ 1 กระป๋อง
น้ำ แดง 1/2 ถ้วย
น้ำ 6 ถ้วย
น้ำแข็งใสหรือน้ำแข็งทุบตามต้องการ

วิธี ทำ

1 นำถั่วแดงมาแยกสิ่งสกปรกออกและล้างทำความสะอาด แช่น้ำไว้ 1 คืน
2 ล้างถั่วแดงที่แช่ค้างคืนไว้แล้วให้สะอาด
3 นำถั่วแดงใส่หม้อ ตั้งไฟ ต้มไปเรื่อยๆจนน้ำงวด
4 ใส่น้ำตาล คนให้น้ำตาลพอละลาย ยกลง
5 ปล่อยทิ้งไว้ให้เย็น ตักถั่วแดงใส่แก้ว ใส่น้ำแข็ง ราดด้วยน้ำแดง นมข้นจืดหรือนมข้นหวานแล้วแต่ชอบ
ขอบคุณที่มาของบทความ อาชีพเสริมสร้างรายได้
http://www.archeep.com/drink/drk_r_bean.htm

เครื่องดื่ม น้ำบ๊วย อาชีพเสริม

น้ำบ๊วยเป็นเครื่องดื่มที่มีรส เปรี้ยวอมหวานและออกเค็มเล็กน้อยดื่มแล้วชื่นใจและยังทำง่ายอีกด้วย เวลาซื้อบ๊วยให้เลือกบ๊วยเม็ดใหญ่เนื้อจะเยอะและควรมีสีน้ำตาลอมเหลือง ถ้าเป็นสีน้ำตาลเข้มจะเป็นบ๊วยเก่ารสจะเค็มเกินไป ทำเป็น อาชีพเสริม ได้อีกทาง


ส่วนผสม

บ๊วยดองน้ำเกลือ 10 เม็ด
น้ำตาล ทราย 1-1/2 ถ้วยตวง
เกลือป่น 1-2 ช้อนชา
น้ำ 6 ถ้วย

วิธีทำ

1 นำบ๊วยมายีเอาแต่เนื้อ แยกเม็ดออก
2 ใส่น้ำลงหม้อ ใส่น้ำตาล ตั้งไฟ พอน้ำเดือดและน้ำตาลละลายก็นำบ๊วยลงต้มจนน้ำมีสีเหลืองอ่อน
3 ใส่เกลือ คนให้ทั่ว ลองชิมให้ออกรสเปรี้ยวหวาน เค็มเล็กน้อย ปล่อยไว้ให้เย็นแล้วเก็บใส่ขวด แช่ในตู้เย็น
4 เวลาดื่มเทลงในแก้วที่มีน้ำแข็งเกล็ด

เป็นยังไงครับ ทำง่ายมากแถมอร่อยชื่นใจอีกต่างหาก ผมเห็นร้านที่ขายเครื่องดื่มที่มีอยู่โดยทั่วไปจะต้องมีน้ำบ๊วยนี้เป็นหนึ่ง ในเมนูเครื่องดื่มเสมอ ขอบคุณที่มาของบทความแนะนำอาชีพที่ http://www.archeep.com/drink/drk_buoay.htm

ขายน้ำผลไม้ปั่น เป็นอาชีพเสริม



เงินลงทุน ประมาณ 4,000 บาท

(เครื่องปั่นน้ำผลไม้ 1,500 บาทขึ้นไป กระติกน้ำแข็ง 200 กว่าบาท ที่คั้นน้ำส้มอลูมิเนียม 250 บาท)

รายได้ ประมาณ 10,000 บาท/เดือน


วัสดุ/อุปกรณ์
เครื่อง ปั่น ที่คั้นน้ำส้ม ภาชนะใส่ผลไม้ โหลใส่น้ำเชื่อม ช้อน มีด เขียง ทัพพีกลมขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 2.5 นิ้ว แก้ว ถุงพลาสติก หลอดดูด ยางรัดถุง กระติกน้ำแข็งและภาชนะตักน้ำแข็ง
แหล่ง จำหน่ายอุปกรณ์
ร้านค้า ร้านจำหน่ายอุปกรณ์ไฟฟ้า คลองถม เวิ้งนครเขษม ห้างสรรพสินค้าทั่วไป

วัตถุดิบ
น้ำตาลทราย เกลือป่น น้ำแข็ง น้ำ นมสด และผลไม้ เช่น ส้ม มะนาว สับปะรด มะพร้าวน้ำหอม แอปเปิ้ล แตงโม กล้วยหอม แตงไทย ฝรั่ง แครอท เป็นต้น
แหล่งจำหน่ายผลไม้
ตลาดมหานาค ตลาดเทเวศร์ ตลาดไท ตลาดสี่มุมเมือง ตลาดคลองเตย
วิธีทำ
1. นำน้ำตาลทรายและน้ำในอัตราส่วน 2:1 ตั้งไฟ คนให้ละลายเข้ากันเป็นน้ำเชื่อม แล้วใส่โหลไว้
2. นำมะพร้าวน้ำหอมที่เตรียมไว้ เอาแต่น้ำมะพร้าวและตักเนื้อเป็นชิ้น ๆ เทใส่ภาชนะไว้
3. ผลไม้อื่น ๆ ใส่ภาชนะไว้ให้ดูสวยงามวิธีปั่นน้ำผลไม้ 1 แก้ว 1. น้ำส้ม - ส้ม 1-2 ผล (ขึ้นอยู่กับขนาดของผลส้ม) คั้นเอาน้ำ น้ำมะนาว - มะนาว 1 ผล คั้นเอาน้ำ สับปะรด - หั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ 1/3 ถ้วยตวง มะพร้าวอ่อน - น้ำมะพร้าวพร้อมเนื้อเล็กน้อยประมาณ 1 ทัพพีกลม 2. นำน้ำหรือเนื้อผลไม้ตามที่ลูกค้าต้องการ ในอัตราส่วนข้อ 1 ใส่เครื่องปั่น 3. ตักน้ำเชื่อมใส่ประมาณ 1 ทัพพีกลม
4. ใส่เกลือประมาณ ? ช้อนชา (อาจมากหรือน้อยกว่านี้ขึ้นอยู่กับชนิดของน้ำผลไม้)
5. ตักน้ำแข็งใส่
6. ใส่นมสดเล็กน้อยตามชนิดของน้ำผลไม้ที่ลูกค้าต้องการ
7. กดปุ่มเครื่องปั่นปั่นน้ำแข็งให้ละเอียดตามความต้องการของลูกค้า
8. จากนั้นเทใส่ถุงหรือแก้วให้ลูกค้า

ตลาด/แหล่งจำหน่าย
ย่านชุมชน ตลาดทั่วไป หน้าสถานศึกษา หรือเช่าสถานที่ในศูนย์การค้า งานกิจกรรม
ข้อแนะนำ ในการทำน้ำ ผลไม้ปั่นเป็นอาชีพเสริม สร้างรายได้
1. อาจเพิ่มชา-กาแฟปั่น โอวัลตินหรือไมโลปั่น โดยใช้ชา-กาแฟสำเร็จรูป ไมโลหรือโอวัลตินชงใส่น้ำตาล และครีมเทียมหรือนมข้นหวาน นำไปปั่น หรือชง-กาแฟโบราณ ร้อน-เย็น ขายควบคู่กัน
2. การทำน้ำมะนาวปั่น ไม่ควรบีบเปลือกมากเกินไป เพราะจะทำให้มีรสขม
3. ควรสอบถามความต้องการของลูกค้าว่าต้องการรสชาติอย่างไร เช่น หวานน้อยหรือมาก และน้ำผลไม้บางชนิดต้องการใส่นมสดหรือไม่

ขอบ คุณที่มาของบทความ อาชีพเสริม สร้างรายได้ http://www.doe.go.th/vg/career/career5/job5060.htm


ขาย บะหมี่-เกี๊ยว เป็นอาชีพเสริม

เงินลงทุน ขายบะหมี่ เกี๊ยว
ประมาณ 10,000 บาท (รถเข็น 3,000-4,000 บาท ตู้กระจก 1,000 บาท หม้อก๋วยเตี๋ยว 1,300 บาท เตาพร้อมถังแก๊ส 2,000 บาท)

ราย ได้
ประมาณ 50,000 บาท ขึ้นไป/เดือน

วัสดุ/อุปกรณ์
รถ เข็น ตู้กระจก หม้อก๋วยเตี๋ยว เตาพร้อมถังแก๊ส ตะกร้อลวกก๋วยเตี๋ยว กระบวยตักน้ำก๋วยเตี๋ยว อุปกรณ์ใส่เครื่องปรุง ชาม ช้อน ตะเกียบ เขียง มีด ตะแกรงย่าง กะละมัง ถุงพลาสติกร้อน ยางรัดถุง

แหล่งจำหน่ายอุปกรณ์
ร้านจำหน่ายอุ ปกรณ์อลูมิเนียม ห้างสรรพสินค้าทั่วไป ย่านเวิ้งนาครเขษม ตลาด

ส่วน ผสมน้ำซุป น้ำสะอาด 40 ลิตร กระดูกหมู 1-2 กิโลกรัม กระเทียมดอง 2 ขีด หัวไชเท้า 3 หัว กะหล่ำปลี 1 หัว น้ำตาลทราย 2-4 ช้อนโต๊ะ พริกไทยเม็ด 2-4 ช้อนโต๊ะ เกลือป่น 2-3 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ 1
ต้มน้ำในหม้อก๋วยเตี๋ยวให้เดือดใส่ส่วนผสมทุกอย่างลงไปชิม รสดู ถ้ายังไม่เค็มให้เติมเกลือ ถ้าไม่หวานเติมน้ำตาลทรายเพิ่มได้ไม่ควรเติมน้ำปลา เพราะอาจทำให้เสียรสชาติได้ส่วนผสมหมูแดง เนื้อหมูสันใน 2 กิโลกรัม ซอสมะเขือเทศ 1/2 ขวดใหญ่ ซีอิ๊วดำ 2 ช้อนโต๊ะ ซีอิ๊วขาว 1/2 ถ้วยตวง น้ำตาลทราย 5 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ 2
นำเนื้อหมูสัน ในหั่นเป็นชิ้นพอประมาณ คลุกเคล้ากับซอสมะเขือเทศ ซีอิ๊วขาว ซีอิ๊วดำ และน้ำตาลทราย หมักไว้ประมาณ 30 นาที แล้วนำมาย่างไฟปานกลางจนสุกเหลือง มีกลิ่นหอมเครื่องปรุง
1. เส้นบะหมี่ แผ่นเกี๊ยว - จัดใส่ตู้กระจกไว้
2. เนื้อหมูสดสับพร้อมกับกระเทียม พริกไทยป่นและซีอิ๊วขาวเล็กน้อย
3. หมูแดง - หั่นเป็นชิ้นบาง ๆ พอคำ ใส่ภาชนะไว้
4. ตั้งฉ่าย
5. ผักต่าง ๆ - ผักกวางตุ้ง หั่นเป็นท่อนพอประมาณ แช่น้ำไว้ - ถั่วงอก แช่น้ำไว้ - ต้นหอม ผักชี หั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ ใส่ภาชนะไว้
6. กระเทียมเจียว
7. น้ำส้ม น้ำปลา น้ำตาลทราย พริกป่น ถั่วลิสงคั่วป่น ใส่ภาชนะเครื่องปรุงไว้

วิธีทำ 3
1. ลวกบะหมี่หรือเกี๊ยวด้วยตะกร้อลวกก๋วยเตี๋ยวใส่ชามไว้ (หากเป็นเกี๊ยว ให้ตักหมูสับที่เตรียมไว้ใส่แผ่นเกี๊ยว ประมาณ 1/2 ช้อนโต๊ะ/แผ่น แล้วห่อก่อนนำไปลวก)
2. ใส่กระเทียมเจียวคลุกเคล้าเส้นบะหมี่หรือเกี๊ยว
3. ลวกผักกวางตุ้งที่หั่นไว้หรือถั่วงอกใส่
4. ใส่ตั้งฉ่ายและหมูแดง
5. ใส่ต้นหอม ผักชี
6. ตักน้ำซุปใส่
7. หยิบเกี๊ยวทอดใส่ แล้วเสิร์ฟให้ลูกค้า
ตลาด/แหล่ง จำหน่าย
แหล่งชุมชนทั่วไป งานกิจกรรมต่างๆ ตลาด หมู่บ้าน
ข้อแนะนำ
1. สามารถใช้หมูสับแทนหมูแดง หรือดัดแปลงเป็นบะหมี่-เกี๊ยวปู
2. อาจดัดแปลงโดยใส่ลูกชิ้นปลาในบะหมี่-เกี๊ยวด้วยก็ได้
3. หากต้องการเพิ่มรสชาติ ควรโรยกากหมูใส่ลงไปด้วยเล็กน้อย

ขอบ คุณที่มาของบทความอาชีพเสริม สร้างรายได้ http://www.doe.go.th/vg/career/career5/job5061.htm

'ทอลูก ปัด' งานเสริม 'ขายไอเดีย-ราคาดี' รวย

งานประดิษฐ์หลายชิ้นต้องยอมรับว่าเมื่อได้เห็นแล้วก็อดทึ่งไม่ได้ เพราะนอกจากจะสวยงามแล้วยังแสดงถึงความมุ่งมั่นตั้งใจของคนทำเป็นอย่างมาก ต้องใช้เวลาและความอดทน แต่เมื่อเทียบกับมูลค่าที่ได้รับกลับมาก็เรียกได้ว่า...หายเหนื่อย อย่างเช่นงาน “ทอลูกปัด” ที่ทีม “ช่องทางทำกิน” มีข้อมูลมานำเสนอ...อาชีพ เสริม

มณี แถววงษ์ เจ้าของงาน “ทอลูกปัด” เล่าว่า เคยประกอบอาชีพเป็นผู้สื่อข่าวมาก่อน ภายหลังแต่งงานมีครอบครัวก็เลยเปลี่ยนงาน หันมาสนใจงานประดิดประดอย อาศัยเวลาว่างไปอบรมหาความรู้เกี่ยวกับการ ประดิษฐ์งานฝีมือตลอดเวลา จนมาสะดุดใจกับงานทอลูกปัดนี้เข้า โดยได้เห็นรูปแบบมาจากงานทอลูกปัดยุคโบราณ คิดว่าสวยดี จึงหันมาศึกษาขั้นตอนการทำงานทอลูกปัดนี้อย่างจริงจัง โดยนำมาประยุกต์ให้เข้ากับจินตนาการของตนเอง จนเกิดเป็นลวดลายต่าง ๆ ขึ้น โดยปัจจุบันทำงานนี้มาได้กว่า 20 ปีแล้ว

“รูปแบบคือการผสมผสานเทคนิค ระหว่างงานทอผ้าผนวกกับงานร้อยลูกปัด โดยจะเน้นผลิตเป็นชิ้นงานหรือเป็นภาพ โดยลูกค้าสามารถซื้อแล้วนำไปประดับกับสินค้า อื่น ๆ หรือใช้เป็นของตกแต่ง”

การ ทอลูกปัดนั้น มณีบอกว่า สามารถดัดแปลงให้เป็นชิ้นงานได้หลากหลาย เช่น สร้อยข้อมือ สร้อยคอ กระเป๋าใส่ของกระจุกกระจิก ฯลฯ ตามแต่จินตนาการของคนทำ โดยสินค้าของมณีและกลุ่มงานทอลูกปัด ราคาขายเริ่มต้นที่ชิ้นละ 900 บาทขึ้นไป ขึ้นอยู่กับขนาด รูปแบบ และความยากง่ายของสินค้า

สำหรับ ความแตกต่างระหว่างงานร้อยลูกปัดกับงานทอลูกปัดนั้น เจ้าของงานบอกว่า งานทอลูกปัดจะใช้เวลาและความอดทนในการทำมากกว่า เพราะแต่ละขั้นตอนจำเป็นต้องอาศัยความประณีต เหมือนกับการทอผ้า แต่แลกมาด้วยความสวยงามของลวดลายที่จะละเอียดกว่า และสามารถสร้างสรรค์ลวดลายได้มากมาย

“ลวดลายที่ทำเริ่มจากลายง่าย ๆ เช่น ลายดอกไม้ ที่เป็นลายพื้นฐาน ไปจนถึงลายที่ยากขึ้น อย่างลายไทย ลูกค้าส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มที่ซื้อไปเพื่อเป็นของตกแต่งและของประดับ โดยมีลูกค้าทั้งในและต่างประเทศ”

ทุนเบื้องต้น ใช้เงินลงทุนไม่มาก อยู่ที่ประมาณ 1,000 บาท ส่วนทุนวัตถุดิบอยู่ที่ประมาณ 30% ของราคาขาย เพราะใช้วัสดุในการทำไม่มาก แต่ใช้เวลามาก โดยอุปกรณ์ที่จำเป็นในงานทอลูกปัด ได้แก่ เครื่องหรือกี่สำหรับทอลูกปัด, ด้าย-เข็ม สำหรับร้อยลูกปัด, ลูกปัด, กรรไกร-คัตเตอร์ และอุปกรณ์สำหรับตกแต่ง อื่น ๆ

ขั้นตอน การทำ เริ่มจากการขึงเส้นด้าย เพื่อทอเครื่องประดับที่มีความยาวไม่มากเกิน ความยาวของเครื่องทอ เช่น จี้ เข็มกลัด หรือสร้อยข้อมือ โดยขึงเส้นด้ายวนอ้อมหมุดไปมาทั้งสองด้าน จนได้จำนวนเส้นด้ายแนวตั้งครบตามที่ต้องการ โดยหมุนแกนให้หมุดทำมุม 45 องศาทั้ง 2 ด้าน แล้วหมุนตัวล็อกเพื่อยึดให้แน่น

จากนั้นยึดปลายเส้น ด้ายด้วยสก๊อตเทปแล้วพันรอบหมุดประมาณ 3 รอบ โดยขึงเส้นด้ายไปยังหมุดอีกด้าน ให้เส้นด้ายผ่านร่องสปริงทั้ง 2 ด้านแล้วพันวกกลับ โดยอ้อมผ่านหมุดและพันพาดไปมาทีละเส้นโดยให้แต่ละเส้นขนานกัน โดยอยู่เรียงกันในร่องสปริง และถูกตรึงโดยหมุดทั้ง 2 ด้าน
เมื่อขึงจนครบ จำนวนเส้นที่ต้องการ ให้พันปลายเส้นด้ายรอบหมุด 3 รอบ ยึดปลายด้ายด้วยสก๊อตเทป ปรับเส้นด้ายที่ขึงให้ตึง โดยหมุนตัวล็อกให้แกนไม้บิดลงเล็กน้อย

ต่อมาเป็นขั้นตอนการทอ เริ่มจากการร้อยลูกปัดด้วยเข็มและด้าย โดยใช้สีและจำนวนตามที่แบบกำหนด ในแต่ละแถวดันให้ลูกปัดแต่ละเม็ดแทรกขึ้นมาระหว่างเส้นด้ายที่ขึงในแนวตั้ง แล้วสอดก้นเข็มผ่านรูลูกปัดทั้งแถวเพื่อให้ลูกปัดเรียงเป็นแถวตรง ทอเช่นนี้ไปทีละแถวตามแบบ จนได้ชิ้นงานที่ต้องการ

เจ้าของผลงานบอก ว่า สีของเส้นด้ายที่ใช้ขึงแนวตั้งและทอในแนวนอน ควรใช้สีเดียวกัน ซึ่งสีของเส้นด้ายที่ใช้ควรใกล้เคียงกับสีพื้นของลูกปัดในชิ้นงาน และเพื่อความแน่นหนา เมื่อร้อยด้ายย้อนผ่านรูลูกปัดในแถวแรกแล้ว ควรผูกเส้นด้ายแนวนอนกับปลายเส้นด้ายที่เหลือไว้ในตอนแรก

“แม้จาก ขั้นตอนการทำที่ว่ามาจะฟังดูยาก แต่ถ้าหากได้ทดลองทำจริง ๆ ฝึกฝนจนชำนาญไประยะหนึ่ง ก็จะเริ่มเข้าใจ และจะเริ่มสนุกขึ้น อาชีพนี้ถ้าตั้งใจทำจริง ๆ มีตลาดแน่นอน เพราะลูกค้ามีมากกว่าคนผลิต อีกทั้งเป็นงานฝีมือที่ในตลาดยังมีคู่แข่งขันน้อย” เจ้าของงานกล่าวทิ้งท้าย

สนใจ ติดต่อ กลุ่มงานทอลูกปัด ติดต่อได้ที่เลขที่ 59/34 หมู่บ้านเสนานิเวศน์ โครงการ 2 แขวงจรเข้บัว เขตลาดพร้าว กรุงเทพฯ โทร. 08-1269-8832 ใครสนใจอยากจะฝึกทำ ก็ลองสอบถามกันโดยตรง.

ศิริโรจน์ ศิริแพทย์ : รายงาน / จเร รัตนราตรี : ภาพ
ขอบคุณที่มา http://www.dailynews.co.th

ของฝาก สร้างอาชีพ 'ลูกหยีกวน'


“ลูกหยี” เป็นหนึ่งในของฝากที่ขึ้นชื่อของปักษ์ใต้ เป็นผลไม้พื้นเมืองของภาคใต้ รับประทานได้เมื่อสุก ตอนเป็นผลดิบจะมีสีเขียว เมื่อสุกเปลือกสีดำ เนื้อในสีน้ำตาล รสหวานอมเปรี้ยว ถ้ากินสุก ๆ เพียงแกะเปลือกสีดำออกก็รับประทานได้แล้ว แต่ถ้าอยากเพิ่มความอร่อยก็นำมาปรุงรสแปรรูปในลักษณะต่าง ๆ เช่นทำเป็น “ลูกหยีกวน” ซึ่งทางทีมคอลัมน์ “ช่องทางทำกิน” ก็มีข้อมูลในเชิงอาชีพมานำเสนอให้พิจารณากัน...

อาจารย์สาลี ชนะสิทธิ์ วัย 60 ปี ผู้อำนวยการโรงเรียนมัธยมพัทลุงวิทยา ในฐานะทายาทผู้สืบทอดธุรกิจ “ลูกหยีแม่หนูดำ” เล่าให้ฟังถึงที่มาของธุรกิจนี้ว่า เจ้าของสูตรที่แท้จริงคือ คุณป้าหนูดำ เยาวนานนท์
ซึ่งเป็นป้าแท้ ๆ ที่ยึดอาชีพนี้มากว่า 50 ปี สมัยเด็ก ๆ อาจารย์จะคอยเป็นลูกมือแกะลูกหยี ทำโน่นทำนี่ให้คุณป้าเสมอ จนทำให้ซึมซับเคล็ดลับและวิธีการแปรรูปลูกหยีเรื่อยมา

“สมัยนั้นทำ กันเฉพาะในครัวเรือน วางขายหน้าบ้าน ซึ่งได้รับความนิยมมาก มีลูกค้าขาประจำทั้งในจังหวัดพัทลุงและใกล้เคียงมาอุดหนุน ทำกันเรื่อยมาจนกระทั่งท่านอายุมาก บวกกับร่างกายไม่แข็งแรง แต่อยากให้อาชีพนี้ตกทอดเป็นมรดกของคนในครอบครัว ในฐานะหลานสาวที่คลุกคลีกับการทำลูกหยีมาตลอด เรายินดีที่จะสืบถอดธุรกิจนี้ และเริ่มทำอย่างจริงจังมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2542 จนปัจจุบัน”

และเพื่อ เป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภค และรักษามาตรฐานผลิตภัณฑ์ อาจารย์สาลียังได้ต่อยอดสินค้า ด้วยการพัฒนากระบวนการผลิตให้ได้คุณภาพ จนผ่านการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) มาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน (มผช.) พัฒนาสินค้าจนได้รับเลือกเป็นสินค้าโอทอประดับ 5 ดาว เป็นสินค้าเด่นประจำจังหวัดพัทลุง อีกทั้งยังปรับปรุงบรรจุภัณฑ์ให้ทันสมัยเหมาะจะซื้อเป็นของฝากอีด้วย
เคล็ด ลับความอร่อยของ “ลูกหยีกวน” อาจารย์สาลีบอกว่าอยู่ที่ประสบการณ์การปรุงรส ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะ ซึ่งสูตรจะไม่กำหนดเป็นอัตราส่วนตายตัว เพราะลูกหยีสดที่รับซื้อมาแต่ละปีรสชาติจะต่างกัน หวานบ้างเปรี้ยวบ้าง ดังนั้น สูตรการปรุงรสจะเกิดจากความคุ้นเคย การทำทุกครั้งจะต้องชิมและปรุงรสให้ได้ที่

วัตถุดิบ/ส่วนผสม ประกอบด้วย ลูกหยีสด, แบะแซ, น้ำผึ้งรวง, เกลือ, น้ำตาลทราย, พริกขี้หนูป่น และน้ำสะอาด ส่วนอุปกรณ์ก็มีอาทิ เครื่องกะเทาะเปลือกและเม็ดลูกหยี (หรือใช้ถุงผ้าก็ได้), กระทะ, เตาแก๊ส, ตะหลิว, ไม้พาย, ถาด, กระด้ง และเครื่องไม้เครื่องมือเบ็ดเตล็ดอื่น ๆ ที่หยิบฉวยเอาได้จากในครัวเรือน

ขั้น ตอนการทำ “ลูกหยีกวน” เริ่มจากนำลูกหยีสดไปตากแดดประมาณ 2 วัน แล้วก็กะเทาะเอาเปลือกและเมล็ดออก ถ้าไม่มีเครื่องกะเทาะก็ให้นำลูกหยีที่ตากได้ที่แล้วมาใส่ในถุงผ้าที่เตรียม ไว้ แล้วทำการฟาดหลาย ๆ ครั้ง เพื่อให้เปลือกแตก เสร็จแล้วก็เทลูกหยีใส่กระด้ง ทำการร่อนเอาเปลือกออก ถ้ามีเศษเปลือกติดค้างต้องแกะให้เกลี้ยง ก่อนจะทำการแกะเมล็ดออก แล้วนำลูกหยีไปเกลี่ยในกระด้งให้ทั่ว นำออกตากแดดอีก 2 วัน แล้วนำลูกหยีที่ตากแดดแห้งดีแล้วเก็บใส่ถุงมัดปากให้ดี ตั้งพักไว้

ต่อ ไปเป็นขั้นตอนการทำน้ำเชื่อม นำน้ำสะอาด น้ำผึ้งรวง แบะแซ น้ำตาลทราย เกลือ และพริกขี้หนูป่น ใส่ลงในกระทะพร้อมกัน ยกขึ้นตั้งไฟปานกลาง เคี่ยวประมาณ 10 นาที จนเป็นน้ำเชื่อมเหนียวเข้มข้น

เมื่อเคี่ยวน้ำเชื่อมได้ที่ดี แล้ว ก็นำลูกหยีที่เตรียมไว้ใส่ลงในกระทะน้ำเชื่อม ทำการคนคลุกเคล้าให้เข้ากัน ยกลง พอเริ่มอุ่น ๆ ก็นำไปปั้นเป็นเม็ดกลม ๆ พอดีคำ แล้วนำไปตากแดดอีกประมาณ 20 นาที จากนั้นห่อด้วยกระดาษ และใส่ลงบรรจุภัณฑ์ พร้อมจำหน่าย โดยสามารถเก็บไว้ได้นานถึงประมาณ 3 เดือน

สินค้า ของอาจารย์สาลีมีให้เลือก 3 ประเภทคือ ลูกหยีกวน ลูกหยีสด ลูกหยีทรงเครื่อง ราคาขายแตกต่างกันไปตามขนาด และบรรจุภัณฑ์ แต่เฉลี่ยอยู่ที่ขีดละ 40 บาท มีต้นทุนประมาณ 70%

ร้านลูกหยีแม่หนูดำ อยู่ที่เลขที่ 52/2 ถ.ประชาบาล ต.คูหาสวรรค์ อ.เมือง จ.พัทลุง, ที่สนามบินหาดใหญ่ และโซนโอทอป ห้างเทสโก้โลตัส สาขาพัทลุง ส่วนในกรุงเทพฯมีขายที่ร้านโครงการหลวง ใกล้โรงพยาบาลศิริราช และมีบริการส่งสินค้าทางไปรษณีย์ทั่วประเทศด้วย ใครต้องการสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม ต้องการสั่งซื้อ ต้องการสั่งไปจำหน่ายต่อ ติดต่อที่ โทร.0-7462-6414 หรือ 08-6627-0867
เชา วลี ชุมขำ :รายงาน
ที่มา เดลินิวส์ http://www.dailynews.co.th

พลิกแพลง ซาลาเปา..ไส้แกง

พลิกแพลงสร้างจุดขายที่ไม่เหมือนใครซาลาเปาไส้แกงจ้า

“ซาลาเปา” ยุคนี้มีการพัฒนาพลิกแพลงให้แปลกใหม่หลากหลาย ทั้งรูปร่างหน้าตา รวมถึง “ไส้แปลก ๆ” ซึ่งวันนี้ทีม “ช่องทางทำกิน” ก็จะเสนอข้อมูลการทำอาชีพขายซาลาเปาที่มีไส้ใหม่ ๆ น่าสนใจ...

ศิริ พรรณ อตัญธี อายุ 43 ปี เจ้าของร้าน “บ้านซาลาเปา” ย่านรังสิต ซึ่งทำซาลาเปาขายมากว่า 10 ปี เล่าว่า อาชีพเดิมคือพนักงานออฟฟิศ เมื่อช่วง พ.ศ. 2543 ต้องตกงาน เพราะพิษเศรษฐกิจ ต้อง ออกจากงาน แต่โชคดีที่สามีมีอาชีพเป็นกุ๊กที่ภัตตาคารห้อยเทียนเหลา จึงได้ออกมาทำซาลาเปาขายแบบเล็ก ๆ ที่บ้าน

ระยะแรกเริ่มต้นจาก 3 ไส้ก่อนคือ ซาลาเปาไส้หมูแดง, ซาลาเปาไส้หมูสับ, ซาลาเปาไส้ครีม ทำแล้วนำไปฝากขายตามสถานที่ต่าง ๆ จากนั้นก็พัฒนาอาชีพให้เติบโตมาเรื่อย ๆ จนปัจจุบันซาลาเปาที่ทำขายมีมากกว่า 10 ไส้ ประยุกต์ พัฒนา พลิกแพลงมาเรื่อย ๆ ตามยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไป

ซาลาเปาไส้เขียวหวาน ไก่ไข่เค็ม, ซาลาเปาไส้กะเพราไก่ไข่เค็ม, ซาลาเปาไส้พะแนงหมูไข่เค็ม เป็น 3 ในกว่า 10 ไส้ที่ศิริพรรณทำขายอยู่ และได้รับความนิยมเป็นอย่างดี ซึ่งเจ้าตัวบอกว่า เพราะคนไทยกินข้าวแกงประจำ จึงคิดทำ ซาลาเปาที่มีรสแกงออกมาขาย ทดลองทำอยู่ไม่นานก็ทำได้ และขายดีด้วย

วิธี ทำซาลาเปาไส้แกงต่าง ๆ ศิริพรรณอธิบายว่า ก่อนอื่นก็ต้องเริ่มที่แป้ง ตามสูตรก็เตรียมแป้งสาลี 12 กก., เชื้อ 1 กก. (เชื้อนี้ต้องเริ่มต้นด้วยการหมักแป้งสาลีประมาณ 2 กำมือกับน้ำพอประมาณ นวดแล้ว ทิ้งไว้ 2-3 วัน เมื่อจะนำมาขึ้นเชื้อใหม่ ให้นวดแป้งสาลีกับน้ำในปริมาณที่ต้องการใช้ แล้วนำมาผสมกับปริมาณแป้งที่จะใช้ในแต่ละวัน เชื้อแป้งนี้อย่าใช้จนหมด ต้องแบ่งบางส่วนไว้ใช้ในคราวต่อไปด้วย เพราะถ้าใช้หมดต้องเสียเวลาหมักแป้งใหม่ ซึ่งอาจทำได้ไม่เหมือนครั้งแรก หรือจะแก้ปัญหาด้วยการไปขอเชื้อจากภัตตาคารที่ขายซาลาเปาก็ได้), น้ำตาลทราย 12 กก., แอมโมเนีย 1 ช้อนชา., ผงฟู 1 ช้อนโต๊ะ., น้ำมัน 3 ช้อนโต๊ะ, นมสด 12 กระป๋อง

ในส่วนของแป้งนี้ วิธีทำคือนวดส่วนผสมทั้งหมดให้เข้ากันให้เนียน โดยที่แป้งไม่ติดมือ จากนั้นใส่น้ำประมาณ 12 ถ้วย แล้วนวดจนเนียนอีก 20 นาที จากนั้นค่อย ๆ แบ่งแป้งออกเป็นก้อน ก้อนละ 40 กรัม เตรียมไว้

สำหรับสูตรแป้งที่ว่า มานี้จะทำซาลาเปาได้ประมาณ 30-32 ลูก

ต่อด้วยวิธีการทำ ไส้เริ่มที่ “ซาลาเปาเขียวหวานไก่ไข่เค็ม” มีส่วนผสมของไส้คือ เนื้อไก่สับ 1 กก., พริกแกงเผ็ดเขียวหวาน 2 ช้อนโต๊ะ, กะทิ 1 กล่อง, น้ำปลา 2 ช้อนโต๊ะ, น้ำตาล 1 ช้อนโต๊ะ คลุกให้เข้ากัน ใส่แป้งข้าวโพดลงไปพอประมาณ นวดให้เข้ากันจนเหนียว จากนั้นใส่ใบโหระพาลงไป แล้วค่อยนำไปแบ่งใส่แป้งซาลาเปาที่แผ่เตรียมไว้ ใส่ไข่เค็มสุก (ไข่แดง) ลงไปประมาณ 12 ฟอง

ถัดมา “ซาลาเปาพะแนงหมูไข่เค็ม” มีส่วนผสมคือ เนื้อหมู 1 กก., เครื่องแกงพะแนง 2 ช้อนโต๊ะ, น้ำตาลทราย 2 ช้อนโต๊ะ, น้ำปลา 1 ช้อนโต๊ะ, ใบมะกรูดหั่นฝอย ผสมส่วนผสมให้เข้ากัน จากนั้นจึงค่อยนำไปแบ่งใส่แป้งซาลาเปาที่แผ่เตรียมไว้ ใส่ไข่เค็มสุก (ไข่แดง) ลงไปประมาณ 12 ฟอง

ส่วน “ซาลาเปากระเพราหมูไข่เค็ม” ใช้หมูสับ 1 กก., กระเทียมสับ และพริกขี้หนูบด 2 ช้อนโต๊ะ, น้ำตาลทราย 1 ช้อนโต๊ะ, น้ำปลา 2 ช้อนโต๊ะ และใบกะเพราพอประมาณ วิธีทำก็นำส่วนผสมมาคลุกผสมให้ เข้ากัน จากนั้นจึงนำไปแบ่งใส่แป้งซาลาเปาที่แผ่เตรียมไว้ ใส่ไข่เค็มสุก (ไข่แดง) ลงไปประมาณ 12 ฟอง การห่อแป้งหุ้มไส้ต่าง ๆ นั้น เวลาจะห่อไส้ก็ให้แผ่แป้งออกขนาดประมาณฝ่ามือ ใส่ไส้ลงไปพอประมาณ แล้วจึงห่อแป้งหุ้มให้แน่น จับจีบด้านบนให้สวยงาม แล้ววางบนกระดาษ จากนั้นนำไปนึ่งประมาณ 12-15 นาที

ซาลาเปาทั้ง 3 ไส้นี้ขายได้ในราคาลูกละ 15 บาท โดยมีต้นทุนประมาณ 60-70% ของราคา

สนใจ “ซาลาเปาไส้แกง” ต้องการติดต่อ ศิริพรรณ อตัญธี ร้านของเธออยู่ที่ 35 ซอยบงกช 30 หมู่ 2 ต.คลองสอง อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี 12120 โทร.0-2901-8369, 08-9925-6312 หรือดูใน www.bansalapao.com ซึ่งเจ้าของอาชีพขายซาลาเปารายนี้ต้องถือว่าพลิกแพลงได้น่าสนใจไม่น้อย.

สุภา รัตน์ ยอดศิริวิชัยกุล : รายงาน/ จเร รัตนราตรี : ภาพ
หนังสือพิมพ์ เดลินิวส์

วันอังคารที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2553

Happy Cake มิติใหม่เบเกอรี่ ทำเองได้ ขายความสนุก

ใครเคยทำขนมเค้กด้วยตัวเอง คงรู้ดีว่า กว่าจะทำเสร็จต้องผ่านขั้นตอนต่างๆ หลายชั้น

ใช้อุปกรณ์หลายชิ้น ประกอบกับต้องมีเคล็ดลับเฉพาะตัวถึงจะได้เค้กออกมาเนื้อนุ่มฟู รสชาติหอมหวานอร่อย

จากปัญหาความยุ่งยากในการทำดังกล่าว จุดไฟให้ “วิเชียร วงษ์สุรไพฑูรย์” กรรมการผู้จัดการบริษัท เส้นหมี่เหรียญไทย จำกัด สร้างสรรค์ “Happy Cake” นวัตกรรมใหม่ขนมเค้กทำได้ง่ายๆ แค่ใส่ส่วนผสมสำเร็จรูปลงไปถ้วย แล้วเข้าไมโครเวฟ 2.5 นาที ก็จะออกมาเป็นขนมเค้กชั้นยอดพร้อมกินได้ทันที

วิเชียร เล่าว่า บริษัทผลิตสินค้าต่างๆ เกี่ยวกับแป้ง ในยี่ห้อ “สิงห์ดาว” (STAR LION) มาตั้งแต่รุ่นปู่ พ่อ จนมาถึงเขารับช่วงกิจการ พยายามต่อยอดธุรกิจ คิดค้นสินค้านวัตกรรมจากแป้งออกสู่ตลาดต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2540 เช่น เส้นหมี่ข้าวกล้อง เส้นขนมจีนอบแห้ง ฯลฯ เพื่อสร้างจุดเด่น และขยายตลาดสู่ต่างประเทศ


หลักคิดเพื่อก้าวสู่เวทีโลกนั้น เจ้าของธุรกิจ เผยว่า พยายามพัฒนาวัตถุดิบแป้งในประเทศให้สามารถทำเมนูสากลได้ ซึ่งพฤติกรรมผู้บริโภคชาวตะวันตกจะกินเบเกอรี่หรือเค้กเป็นหลัก แป้งที่ใช้ทำ คือ “แป้งสาลี” ส่วนประเทศไทยต้องนำเข้าแป้งสาลี ปีละหลายหมื่นล้านบาท ทั้งๆ ที่ “แป้งข้าวเจ้าไทย” มีคุณสมบัติสามารถทำเค้กได้ดีไม่แพ้กัน

นอกจากนั้น จากการศึกษาพบว่า ในแป้งสาลีมีสาร “กลูเต็น” ซึ่ง 2 ใน 1,000 คน จะมีอาการแพ้เป็นผื่นคันหรือลมพิษได้ ขณะที่แป้งข้าวเจ้าปลอดจากสารตัวนี้100% จึงเห็นช่องทางจะใช้จุดนี้ผลักดันแป้งข้าวเจ้าใช้ทำเค้กทดแทนแป้งสาลี ซึ่งนอกจากจะเป็นโอกาสของบริษัทแล้ว ยังมีส่วนช่วยเกษตรกรไทยอีกด้วย

วิเชียร ขยายความอีกว่า นวัตกรรมการผลิตแป้งเค้กข้าวเจ้า เป็นความร่วมมือระหว่างบริษัทกับมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มีส่วนผสมจากแป้งข้าวเจ้า 3-4 สายพันธุ์ ใช้เวลาวิจัยและพัฒนานานกว่า 4 ปี ด้วยทุนกว่า 10 ล้านบาท โดยเปิดตัวครั้งแรกเมื่อกลางปี 2550 ในแบบผงแป้งเค้กข้าวเจ้าบรรจุกล่อง ส่งออกไปกว่า 10 ประเทศทั่วโลก เช่น กลุ่มอียู ออสเตรเลีย เป็นต้น

และล่าสุด ได้ทุ่มงบอีกกว่า 10 ล้านบาทต่อยอดนวัตกรรมมาทำเป็นเค้กที่ทุกคนเองอย่างง่ายๆ ในรูปแบบ “ควิกคัพเค้ก”(Quick Cup Cake) แบรนด์ “Happy Cake”โดยเป็นถ้วยพลาสติก ภายในมีผงแป้งเค้กข้าวเจ้า และช็อกโกแลตก้อนบรรจุซอง ขั้นตอนการทำง่ายๆ เพียงเท นมสด น้ำมันพืช ไข่ไก่ 1 ฟอง และผงแป้งเค้กข้าวเจ้าลงในถ้วย คนให้เข้ากันแล้วนำเข้าไมโครเวฟ ระดับความร้อนสูงสุด แค่ 2.5 นาที ก็จะออกมาเป็นก้อนเค้กพร้อมกิน แล้วนำช็อกโกแลตก้อนมาละลายบนก้อนเค้กร้อนๆ เพื่อแต่งหน้า นอกจากนั้น สามารถพลิกแพลงนำเครื่องเคียงอื่นๆ มาประดับเพื่อสร้างสีสันเพิ่มความอร่อยยิ่งขึ้น

เจ้าของธุรกิจ ยอมรับว่า รูปแบบ “ควิกคัพเค้ก” ในต่างประเทศมีมานานพอสมควรแล้ว ทว่า บริษัทเป็นผู้ผลิตชาวไทยรายแรก และยังเป็นรายแรกในโลกที่ใช้วัตถุดิบแป้งจาก “ข้าวเจ้า” อีกทั้ง กระบวนทำของ Happy Cake พัฒนาให้ง่ายกว่าที่เคยมีมา

จุด เด่นอีกด้านของ Happy Cake อยู่ที่ความสนุกสนาน ผู้ทำสามารถแต่งหน้าเค้กด้วยตัวเอง หรือทำเค้กกับสมาชิกในครอบครัว ถือเป็นช่วงเวลาแห่งอบอุ่นที่ทุกคนได้ใช้เวลาร่วมกัน

“ผมมีความเชื่อ ว่า ผู้หญิงที่รักการทำขนมทุกคน อยากทำขนมเค้กเป็น ดังนั้น จึงช่วยเพิ่มความสะดวก เมื่อทำเสร็จจะเกิดความภาคภูมิใจ หรือเด็กๆ ที่ทำอาหารไม่ เป็นเลย แต่อยากทำเค้กมอบให้คุณพ่อคุณแม่ในวาระพิเศษๆ ด้วยตัวเอง ก็สามารถทำได้ รวมถึง อยากจะแต่งหน้าเค้กหรือดัดแปลงเค้กอย่างไรก็ได้ ตามจินตนาการ ซึ่งเป็นเสน่ห์ที่ทำให้ทั้งคนทำและผู้รับมีความสุขร่วมกัน” วิเชียร กล่าว

ด้าน รสชาตินั้น ผ่านการวิจัยและพัฒนาจนได้รสชาติที่เชื่อว่า คนส่วนใหญ่จะถูกปาก ได้รับเครื่องหมาย “เชลล์ชวนชิม” การันตี ขณะที่ด้านการผลิตผ่านมาตรฐานด้านอาหารครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็น อย. ฮาลาล GMP HACCP เป็นต้น

ทั้งนี้ ราคาขายอยู่ ที่ ถ้วยละ 69 บาท (น้ำหนัก 135 กรัม) มีด้วยกัน 4 รส ได้แก่ เค้กวานิลาหน้าช็อกโกแลตขาว เค้กวานิลาช็อกโกแลตดำ เค้กมอคคา และเค้กช็อกโกแลต สามารถเก็บไว้นานเป็นปี มีจุดขายใน ซูเปอร์มาร์เกตตามห้างสรรพสินค้าต่างๆ วางกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย คือ ตั้งแต่เด็ก วัยรุ่น ผู้ใหญ่ กลุ่มครอบครัว และร้านกาแฟต่างๆ ซื้อไปบริการลูกค้าในร้าน เป็นต้น

วิเชียร เผยด้วยว่า แม้จะเปิดตัวไม่นาน Happy Cake ได้ผลตอบรับน่าพอใจ ทั้งตลาดในและต่างประเทศ เพราะเริ่มแรกผู้บริโภคต้องการซื้อประสบการณ์จากความเป็นสินค้าแปลกใหม่ เมื่อได้ทดลองแล้ว เกิดความประทับใจ ช่วยเติมเต็มความต้องการ โดยเฉพาะคนเมือง ซึ่งยากจะมีโอกาสทำเค้กได้เอง ลูกค้ากลุ่มนี้จึงกลับมาซื้อซ้ำไว้ประจำครัวเรือน

ส่วนแผนการตลาดใน ปีนี้ (2551) จะใช้ Happy Cake เป็นหัวหอกในการบุกตลาดต่างประเทศ เน้นที่การสร้างเครือข่ายตัวแทนจำหน่ายให้ครอบคลุมมากที่สุด ตั้งเป้าคืนเงินลงทุนได้ภายใน 3 ปี อีกทั้งไม่หยุดนิ่งที่จะออกสินค้านวัตกรรมใหม่จากแป้งต่อเนื่อง

“แม้ ปัจจุบันการทำธุรกิจต่างๆ จะต้องพบปัจจัยลบมากมาย แนวทางที่พาบริษัทฝ่าวิกฤตไปได้ ผมพยายามปรับองค์กรสู่การสร้างนวัตกรรม ซึ่งเป็นการลงทุนที่ประหยัดและคุ้มค่ามากที่สุด ถ้าวันนี้ผมยังยึดกับการทำแป้ง หรือเส้นหมี่อย่างเดียว การค้าทุนนิยมก็จะขับเราออกจากตลาด ดังนั้น ผมจึงเน้นสร้างนวัตกรรมใหม่จากพื้นฐานธุรกิจเดิม เพื่อเพิ่มมูลค่า และจุดเด่นเฉพาะตัว อย่าง Happy Cake ผมขอแค่ผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมาย ซื้อกินเดือนละ 1 ครั้ง ก็เป็นตลาดที่ใหญ่มากสำหรับเราแล้ว”


ที่มา : ผู้จัดการออนไลน์

ขนมเปี๊ยะอบ เทียน

“ช่องทางทำกิน” วันนี้ทางทีมงานมีข้อมูลเกี่ยวกับ “ขนมเปี๊ยะ”มานำเสนอกันอีกครั้ง-อีกรูปแบบ เป็น “ขนมเปี๊ยะอบเทียน” สูตรโบราณ แห่งจ.นครปฐม ที่มีผู้ติดอกติดใจในรสชาติไม่น้อยเลย…

สม ทรง นาคศรีสังข์ เจ้าของขนมเปี๊ยะอบเทียน “ครูสมทรง” ใน อ.บางเลน จ.นครปฐม เล่าว่า ทำขนมเปี๊ยะอบเทียนมานาน 7-8 ปีแล้วเริ่มทำตั้งแต่สมัยยังรับราชการเป็นครู โดยมีเพื่อนสอนให้และส่วนตัวก็เป็นคนชอบทำขนมและอาหารเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ดังนั้นการทำขนมเปี๊ยะจึงเป็นเรื่องไม่ยากเกิน

ที่เลือกขนมเปี๊ยะมา ใช้ค้าขาย เพราะว่าวัตถุดิบอย่างแป้ง ถั่ว เก็บได้ไม่เสียไม่เหมือนกับค้าขายอาหารอีกหลายอย่างที่เก็บไว้นานไม่ได้ เพราะของจะเสียและไข่เค็มที่ต้องใช้ด้วยนั้นในบางเลนก็หาได้ง่ายมากจึงสะดวก ที่จะเลือกทำขนมเปี๊ยะขาย ซึ่งช่วงหลัง ๆ สุขภาพไม่ค่อยดีจึงเออรี่รีไทร์จากข้าราชการมาค้าขายเต็มตัว

ใช้ เทียนหอมอบ เป็นสูตรโบราณ เทียนหอมปัจจุบันราคาค่อนข้างสูง แต่ก็ต้องทำตามมาตรฐานเดิมทุกอย่าง เพื่อความหอมอร่อย

ขนมเปี๊ยะอบ เทียนเจ้านี้มีหลายไส้-หลายแบบ อาทิ ถั่ว-ไข่เค็ม, เผือก,พริกเผา, เผือก, ถั่วดำ, งาดำ และยังมีกะหรี่ปั๊บด้วยส่วนขนมเปี๊ยะที่ขายดีเป็นพิเศษก็เห็นจะเป็นไส้ถั่ว -ไข่เค็ม, เผือกและพริกเผา โดยขนมเปี๊ยะนั้นแม้ว่าในช่วงเศรษฐกิจซบเซาขาลงยอดขายก็ไม่เคยตก ยิ่งเป็นช่วงเทศกาลยิ่งทำขายกันแทบไม่ทัน

มาดูกันว่า “ขนมเปี๊ยะอบเทียน” บางเลนนั้น ทำกันอย่างไร ?

ครูสมทรงอธิบายว่า ทำเหมือนกับขนมเปี๊ยะทั่ว ๆ ไปคือ ต้องมี “แป้งใน” กับ “แป้งนอก”และ ต้องนวดแป้งในก่อน ซึ่งนวดผสมระหว่างแป้งสาลี 1 กก. และน้ำมันพืชหรือเนย 400 กรัม (ของครูสมทรงใช้น้ำมันพืช) เมื่อนวดจนเข้ากันแล้วให้แบ่งแป้งออกมาเป็นก้อนเล็ก ๆ ขนาดหัวแม่มือเตรียมไว้

ส่วนแป้งนอกผสมระหว่างแป้งสาลี 1.5 กก., น้ำมันพืช 800 กรัม, น้ำตาลทราย 300-400กรัม, เกลือนิดหน่อย และน้ำเปล่า 1,100 กรัมนวดด้วยเครื่องให้เข้ากันจนแป้งเนียน แล้วปั้นออกมาเป็นก้อน ๆขนาดเท่ากับหัวแม่มือเช่นเดียวกับแป้งใน

สำหรับ “ไส้ถั่วกวน”ใช้ เม็ดถั่วเขียวผ่าซีก 1 กก. แช่น้ำ 2-3 ชั่วโมง (ถ้าแช่น้ำร้อนจะดีมากเพราะถั่วจะนิ่ม) แล้วนำไปนึ่งให้สุก นำไปบดให้ละเอียดและกวนกับน้ำตาลทราย 700-800 กรัม และกะทิอีก 400 กรัม จนเข้ากันส่วนไข่เค็มนั้น ใช้ไข่แดงจากไข่เป็ดดิบนำไปนึ่งให้สุก

นำ แป้งในและแป้งนอกที่ปั้นเป็นก้อนกลมมารีดออกเป็นแผ่น ๆ วางทับซ้อนกันโดยแป้งนอกห่อแป้งใน รีดแล้วพับ พับแล้วรีด เพื่อให้เกิดชั้นขึ้นมาเมื่อได้ชั้นตามสมควรแล้วก็มาใส่ไส้ถั่วและไข่เค็ม ห่อปิดให้เรียบร้อยทาหน้าด้วยไข่แดงเพื่อเวลาอบสุกจะได้ออกมาเป็นสีเหลือง นวลน่ารับประทาน

อบด้วยความร้อน 250 องศาฯ ใช้เวลา 21 นาที

เมื่อ อบสุกแล้วนำออกมาผึ่งให้เย็นด้วยการเป่าพัดลม หรือผึ่งในห้องแอร์แล้วอบด้วยเทียนควั่นอีกประมาณ 1-3 ชั่วโมง เพื่อความหอมน่าทานและคงสไตล์แบบเดิม ซึ่งครูสมทรงบอกว่ายิ่งอบเทียนนานก็ยิ่งหอมอร่อยไม่ต้องใช้วิธีแต่งกลิ่นให้ เสียรสชาติ โดยจะอบเป็นถาดใส่ในตู้อบด้วยเทียนควั่นคราวละหลาย ๆ แท่ง

ใน ส่วนของ “ไส้เผือก”นั้น วิธีการทำใช้เผือกนึ่งสุกนำไปกวนกับกะทิและน้ำตาลทรายซึ่งวิธีทำเหมือนถั่ว กวนทุกอย่าง ขณะที่ “ไส้น้ำพริกเผา” นั้น ใช้ไก่บด(แทนหมู เพราะมีลูกค้าที่เป็นมุสลิม) ผัดกับน้ำพริกเผา กระเทียมและกุ้งแห้ง เมื่อผัดเข้ากันแล้ว ใส่ถั่วกวนลงไปผัดให้เข้ากันด้วย

จากสูตรแป้ง ขนมเปี๊ยะข้างต้น เป็นสูตรคร่าว ๆ ของการผสมแป้งซึ่งในการทำขายนั้น เมื่อนวดแป้งออกมาแล้ว แบ่งสูตรแป้งออกเป็นสูตรละ 550กรัม ซึ่งจะปั้นออกมาได้ประมาณ 120 ชิ้น โดยที่ราคาขายคือชิ้นละ 5 บาท

ต้อง มีความซื่อสัตย์ และรักษามาตรฐานให้ได้เหมือนเดิม ไม่ว่าต้นทุนจะสูงขึ้นไปมากเท่าใดก็ตาม
ครูสมทรงบอกเคล็ดลับการค้าขายขนม เปี๊ยะที่ยังขายดิบขายดีท่ามกลางเศรษฐกิจชะลอตัว

สนใจ“ขนมเปี๊ยะอบ เทียน” ครูสมทรง ติดต่อได้ที่ร้านอยู่ตรงข้ามธนาคารไทยพาณิชย์สาขาบางเลน จ.นครปฐม หรือโทรศัพท์0-3439-1376, 0-3430-2534 และ 08-1206-0041


สุภา รัตน์ ยอดศิริวิชัยกุล :รายงาน / จเร รัตนราตรี :ภาพ

จาก เดลินิวส์

ขายน้ำผลไม้ ปั่น

อาชีพอิสระ ขายน้ำผลไม้ปั่น

เงินลงทุน ประมาณ 4,000 บาท
(เครื่องปั่นน้ำผลไม้ 1,500 บาทขึ้นไป กระติกน้ำแข็ง 200 กว่าบาท ที่คั้นน้ำส้มอลูมิเนียม 250 บาท)

รายได้ ประมาณ 10,000 บาท/เดือน

วัสดุ/อุปกรณ์ เครื่องปั่น ที่คั้นน้ำส้ม ภาชนะใส่ผลไม้ โหลใส่น้ำเชื่อม ช้อน มีด เขียง ทัพพีกลมขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 2.5 นิ้ว แก้ว ถุงพลาสติก หลอดดูด ยางรัดถุง กระติกน้ำแข็งและภาชนะตักน้ำแข็ง

แหล่งจำหน่ายอุปกรณ์ ร้านค้า ร้านจำหน่ายอุปกรณ์ไฟฟ้า ห้างสรรพสินค้าทั่วไป คลองถม เวิ้งนครเขษม
วัตถุ ดิบ น้ำตาลทราย น้ำ นมสด เกลือป่น น้ำแข็ง และผลไม้ เช่น ส้ม มะนาว สับปะรด มะพร้าวน้ำหอม กล้วยหอม แตงไทย ฝรั่ง แอปเปิ้ล แตงโม แครอท เป็นต้น

แหล่ง จำหน่ายผลไม้ ตลาดมหานาค ตลาดเทเวศร์ ตลาดไท ตลาดสี่มุมเมือง ตลาดคลองเตย

วิธีทำ

1. นำน้ำตาลทรายและน้ำในอัตราส่วน 2:1 ตั้งไฟ คนให้ละลายเข้ากันเป็นน้ำเชื่อม แล้วใส่โหลไว้
2. นำมะพร้าวน้ำหอมที่เตรียมไว้ เอาแต่น้ำมะพร้าวและตักเนื้อเป็นชิ้น ๆ เทใส่ภาชนะไว้
3. ผลไม้อื่น ๆ ใส่ภาชนะไว้ให้ดูสวยงาม

วิธีปั่นน้ำผลไม้ 1 แก้ว
1. น้ำส้ม - ส้ม 1-2 ผล (ขึ้นอยู่กับขนาดของผลส้ม) คั้นเอาน้ำ
น้ำมะนาว - มะนาว 1 ผล คั้นเอาน้ำ
สับปะรด - หั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ 1/3 ถ้วยตวง
มะพร้าวอ่อน - น้ำมะพร้าวพร้อมเนื้อเล็กน้อยประมาณ 1 ทัพพีกลม
2. นำน้ำหรือเนื้อผลไม้ตามที่ลูกค้าต้องการ ในอัตราส่วนข้อ 1 ใส่เครื่องปั่น
3. ตักน้ำเชื่อมใส่ประมาณ 1 ทัพพีกลม
4. ใส่เกลือประมาณ ? ช้อนชา (อาจมากหรือน้อยกว่านี้ขึ้นอยู่กับชนิดของน้ำผลไม้)
5. ตักน้ำแข็งใส่
6. ใส่นมสดเล็กน้อยตามชนิดของน้ำผลไม้ที่ลูกค้าต้องการ
7. กดปุ่มเครื่องปั่นปั่นน้ำแข็งให้ละเอียดตามความต้องการของลูกค้า
8. จากนั้นเทใส่ถุงหรือแก้วให้ลูกค้า

ตลาด/แหล่งจำหน่าย ย่านชุมชน ตลาดทั่วไป หน้าสถานศึกษา หรือเช่าสถานที่ในศูนย์การค้า

ข้อแนะนำ 1. อาจเพิ่มชา-กาแฟปั่น โอวัลตินหรือไมโลปั่น โดยใช้ชา-กาแฟสำเร็จรูป ไมโลหรือโอวัลตินชงใส่น้ำตาล และครีมเทียมหรือนมข้นหวาน นำไปปั่น หรือชง-กาแฟโบราณ ร้อน-เย็น ขายควบคู่กัน
2. การทำน้ำมะนาวปั่น ไม่ควรบีบเปลือกมากเกินไป เพราะจะทำให้มีรสขม
3. ควรสอบถามความต้องการของลูกค้าว่าต้องการรสชาติอย่างไร เช่น หวานน้อยหรือมาก และน้ำผลไม้บางชนิดต้องการใส่นมสดหรือไม่

ขอบคุณที่มา www.doe.go.th

การเพาะ เห็ดชนิดต่าง ๆ

อาชีพอิสระ เพาะเห็ดชนิดต่าง ๆ

เงินลงทุน ครั้งแรกประมาณ 8,000 บาท ขึ้นไป

(ก้อนเชื้อเห็ด ก้อนละ 3-10 บาท โรงเรือนประมาณ 4,000 บาท ขึ้นไป)

รายได้ 8,000 บาท ขึ้นไป/เดือน

(อาจมากหรือ น้อยกว่านี้ขึ้นอยู่กับปริมาณเห็ดที่เก็บได้ และราคาตลาดของเห็ดแต่ละชนิด)


อุปกรณ์ ก้อนเชื้อเห็ด โรงเรือนเพาะเห็ดคลุมด้วยตาข่าย หรือมุงจากชั้นแขวนก้อน เชื้อเห็ดบัวรดน้ำ เกย์วัดความชื้น


แหล่งจำหน่าย ร้านค้าหน้ามหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ศูนย์รวมสวนเห็ดบ้าน อรัญญิก ฟาร์มเพาะเห็ดทั่วไป

วิธีดำเนินการ ไปซื้อถุงเชื้อเห็ดจากแหล่งจำหน่าย ซึ่งถุงเชื้อเห็ดนั้น โดยทั่วไปเป็นถุงพลาสติกบรรจุเชื้อเห็ดมีรูปทรงคล้ายขวด โดยมีพลาสติกรูปทรงคอขวดใส่ปากถุงไว้เพื่อให้คล้ายคอขวด และมีจุกสำลีอุดปากถุง

เห็ด นางรม เห็ดนางฟ้า เห็ดขอนขาว เห็ดเป๋าฮื้อ เห็ดยานางิ

ปิดถุงเห็ด โดยดึงจุกสำลีและพลาสติกที่ทำเป็นคอขวดออก ปาดปากถุง ส่วนเห็ดเป๋าฮื้อและยานางิไม่ต้องปาดปากถุง นำไปวางซ้อนกันบนชั้นแขวนในโรงเรือน โดยให้ถุงอยู่ในลักษณะแนวนอน รดน้ำรักษาความชื้น 70-90% วันละ 2 - 6 ครั้ง โดยรดน้ำเป็นฝอยพ่นเหนือถุง

อย่า รดน้ำเข้าปากถุง หลังจากนั้นจะเริ่มมีดอกเห็ดโผล่ออกมาทางปากถุง ประมาณ 7-10 วัน ก็เก็บเห็ดรุ่นแรกได้ ระยะห่างของรุ่น10-15 วัน ส่วนเห็ดเป๋าฮื้อและยานางิ ประมาณ 10-15 วัน เก็บเห็ดได้ ระยะห่างของรุ่น 30-40 วัน

เห็ดหูหนู
เปิดถุงเห็ด โดยดึงสำลีและพลาสติกที่ทำเป็นคอขวดออก รัดปากถุงแล้วเอามีดกรีดข้างถุงเป็นแนวเฉียง 4 แนว ๆ ละ 3 บั้ง นำไปวางบนชั้นแขวน รดน้ำรักษาความชื้น 80-90% ประมาณ 10-15 วัน เก็บเห็ดได้ ระยะห่างของรุ่น 15-20 วัน

เห็ดหอม
กรีดถุง เห็ดให้เหลือเฉพาะส่วนก้นถุง 1-2 นิ้ว รดน้ำรักษาความชื้น 70-80% ประมาณ 7-10 วัน จะเก็บผลผลิตรุ่นแรกได้ ระยะห่างของรุ่น 15-20 วัน

ตลาด จำหน่าย ตลาดสด ขายส่งให้พ่อค้าแม่ค้า ซุปเปอร์มาเก็ต โรงงานแช่แข็ง โรงงานบรรจุกระป๋อง


ข้อแนะนำ
1. เงินลงทุนอาจมากหรือน้อยกว่านี้ ขึ้นอยู่กับขนาดของกิจการ ปริมาณก้อนเชื้อเห็ดและวัสดุอุปกรณ์ที่ใช้
2. การเลือกก้อนเชื้อเห็ด ควรเลือกที่มีเส้นใยเต็มถุง ไม่มีการปนเปื้อนของเชื้อรา และเป็นก้อนเชื้อที่ไม่อ่อนหรือแก่เกินไป
3. การรดน้ำเห็ดทุกชนิดที่อยู่ในถุงเชื้อเห็ด ควรรดน้ำเหนือถุง อย่ารดน้ำเข้าปากถุงเพราะน้ำจะขังอยู่ในถุง ทำให้เชื้อเสียเร็ว
4. โดยปกติ ก้อนเชื้อเห็ดจะหมดอายุการเก็บผลผลิตเมื่อครบ 3 เดือน


สถานที่ฝึกอบรม

1. ศูนย์รวมสวนเห็ดบ้านอรัญญิก (ที่ปรึกษาเรื่องเห็ด ในโครงการส่วนพระองค์ สวนจิตรลดา) โทร. 441-0369, 441-0467
2. สำนักส่งเสริมและฝึกอบรม มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โทร. 579-2294,942-8460 ต่อ 219 - 222

‘ข้าวซอย-น้ำ เงี้ยว’มีสูตรเด็ดขายที่ไหนก็รวย

“ช่วงนี้นักท่องเที่ยวจะนิยมขึ้นเหนือไปสัมผัสอากาศหนาว และหลายคนก็จะถือโอกาส รับประทานอาหารประจำถิ่นอย่าง “ข้าวซอย” ให้จุใจ อย่างไรก็ตาม ข้าวซอยนี่ไม่จำเป็นว่าจะต้องขายอยู่ทางเหนือเท่านั้น ขอเพียงมีสูตรเด็ดเคล็ดอร่อย ก็ทำขายในพื้นที่ภาคอื่น ๆ ได้ อย่างที่ทีม “ช่องทางทำกิน” จะนำเสนอในวันนี้...

ภัคพงศ์ พึ่งกัน ปัจจุบันเปิดร้านอาหารชื่อ “รสมือแม่” อยู่ในกรุงเทพฯ เจ้าตัวบอกว่า เดิมเคยเปิดร้านขายอาหารเหนืออยู่ที่เชียงใหม่ ภายหลังต้องหยุดเพราะเข้ามาทำงานเป็นสัตวแพทย์อยู่ในกรุงเทพฯ พอมาอยู่ที่กรุงเทพฯก็เห็นว่าอาหารเหนือนั้นหากินยาก จึงคิดจะเปิดร้านขายอาหารเหนือ และได้ขอให้คุณแม่ซึ่งมีประสบการณ์ในการทำอาหารเหนือมานานลงมาอยู่ที่ กรุงเทพฯ เพื่อช่วยในเรื่องนี้

ร้านอาหารเหนือที่เปิดใหม่นี้ก็ใช้ชื่อร้านว่า “รสมือแม่” ซึ่งเป็นชื่อเดิมที่เคยเปิดอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่ จะเน้นให้คนกรุงเทพฯได้รู้ถึงรสชาติของอาหารเหนือที่แท้จริง และให้คนที่ชอบได้กินกันบ่อยขึ้น ที่สำคัญอาหารที่ร้านนี้ทุกเมนูจะไม่ใส่ผงชูรส โดยที่ร้านจะมีสโลแกนว่า “พ่อแม่ใส่ใจแทนการใส่ผงชูรส”

สำหรับอาหารเหนือที่ขึ้นชื่ออย่าง “ข้าวซอย” และ “น้ำเงี้ยว” เป็นเมนูที่ทำไม่ยาก แต่อาจจะมีขั้นตอนการทำที่เยอะหน่อย ซึ่งความอร่อยนั้นอยู่ที่ “พริกแกง” เพราะฉะนั้นพริกแกงที่ร้านนี้ใช้ทำทั้งสองเมนู จะทำขึ้นเอง ไม่ซื้อสำเร็จรูป และที่สำคัญข้าวซอยและน้ำเงี้ยวจะต้องทำใหม่ ๆ ทุกวัน จะทำพอดีขายวันต่อวัน

วัตถุดิบที่ใช้ในการทำพริกแกงข้าวซอย ตามสูตรของร้านนี้มีดังนี้... พริกแห้ง 2 ขีด, กระเทียม 3 ขีด, หอมแดง 3 ขีด, ข่า 2 ขีด, ตะไคร้ 2 ขีด, ขิง 1 ขีด, กะปิ 1.5 ขีด, เม็ดผักชียี่หร่า 1/2 ขีด, ผง กะหรี่ 2 ช้อนโต๊ะ, ผงขมิ้น 2 ช้อนโต๊ะ, เกลือ 2 ช้อนโต๊ะ

จาก สูตรนี้สามารถทำพริกแกงได้ประมาณ 1 กิโลกรัม

วิธีการทำพริกแกง เริ่มจากนำวัตถุดิบทุกอย่างมาทำการปั่นให้ละเอียด โดยแยกปั่นแต่ละอย่าง จากนั้นก็นำวัตถุดิบทุกอย่างที่ปั่นละเอียดแล้วมาเทใส่รวมกันในครก ทำการโขลกให้เข้าเป็นเนื้อเดียวกัน เท่านี้ก็จะได้พริกแกงพร้อมสำหรับทำข้าวซอย โดยพริกแกงข้าวซอยจะออกทางหอมกลิ่นผงกะหรี่

เมื่อได้พริกแกงก็มาถึง วิธีทำ “น้ำแกงข้าวซอย” เริ่มจากนำหัวกะทิใส่กระทะตั้งไฟปานกลาง ทำการเคี่ยวให้หัวกะทิแตกมัน จากนั้นก็นำพริกแกงที่ทำเตรียมไว้ใส่ลงไปผัดรวมกับหัวกะทิ พอเริ่มหอมก็ให้นำเนื้อวัวหรือเนื้อไก่ใส่ลงไปผัดด้วยประมาณ 15 นาที

เนื้อ วัวที่ใช้ทำควรจะใช้เนื้อส่วนน่องลาย เพราะเป็นเนื้อส่วนที่มีเอ็นติดแทรกอยู่ในเนื้อ เวลาทำออกมาจะอร่อยมาก ส่วนถ้าเป็นเนื้อไก่นั้นจะใช้เนื้อส่วนน่องมาทำ โดยเลือกใช้น่องที่มีขนาด 8-9 น่องต่อกิโลกรัม

ขั้นตอนต่อไป นำหางกะทิใส่หม้อตั้งไฟอ่อน ๆ ใส่เกลือและน้ำตาลทรายลงไปเล็กน้อย พอกะทิเดือดก็นำเนื้อหรือไก่ที่ผัดกับพริกแกงใส่ลงไปในหม้อ จากนั้นก็ตั้งไฟเคี่ยวไปเรื่อย ๆ

ถ้าเป็นเนื้อจะใช้เวลาในการเคี่ยว เป็นชั่วโมงเพื่อให้เนื้อเปื่อยนุ่ม แต่ถ้าเป็นน่องไก่จะใช้เวลาในการเคี่ยวประมาณ 1/2 ชั่วโมงเท่านั้น เท่านี้ก็จะได้น้ำแกงสำหรับใส่เส้นข้าวซอย

สำหรับการเตรียม “เส้นข้าวซอย” นั้น ก็แค่ตั้งน้ำให้เดือดแล้วนำเส้นลงลวกให้เส้นนิ่ม ใส่ชาม ใส่น้ำแกงที่เตรียมไว้ลงไป แล้วก็จะใส่เส้นบะหมี่ที่ทอดกรอบอีกส่วนหนึ่งด้วย แต่เส้นข้าวซอยนั้นถ้าจะให้ได้รสชาติข้าวซอยเมืองเหนือแท้ ๆ จะต้องใช้เส้นข้าวซอยโดยเฉพาะ ซึ่งทางร้านนี้จะมีแหล่งสั่งซื้อจากจังหวัดเชียงใหม่

“ข้าวซอย” นั้นต้องเสิร์ฟคู่กับเครื่องเคียง อย่างผักกาดดองหั่นเป็นชิ้น, หอมแดงหั่นเป็นชิ้น และมะนาวหั่นซีก

หากใช้พริกแกงประมาณ 1 กิโลกรัม ต่อเนื้อวัวหรือน่องไก่ 5 กิโลกรัม และกะทิ 4 กิโลกรัม จะสามารถทำข้าวซอยได้ประมาณ 45 ชาม ราคาขายของร้าน “รสมือแม่” อยู่ที่ชามละ 40 บาท

ภัคพงศ์ยังให้ข้อมูลเกี่ยวกับ “น้ำเงี้ยว” ด้วยว่า สำหรับพริกแกงที่ใช้ทำน้ำเงี้ยวก็จะใช้วัตถุดิบเหมือนพริกแกงข้าวซอย เพียงแต่พริกแกงของน้ำเงี้ยวนั้นไม่ต้องใส่ขิงและผงกะหรี่ ส่วนวิธีการทำก็เหมือนกัน

การทำน้ำเงี้ยว เริ่มจากนำพริกแกงมาผัดกับน้ำมันให้พอหอม จากนั้นก็ใส่หมูลงไปผัดให้พอมีกลิ่นหอม ทำการตั้งน้ำต้มกระดูกหมู พอเดือดก็ใส่หมูที่ผัดกับพริกแกงลงไปในหม้อ ต้มไปเรื่อย ๆ ใส่เลือดไก่และมะเขือเทศลงไป ปรุงรสตามต้องการ ก็จะได้น้ำเงี้ยวสำหรับราดเป็น “ขนมจีนน้ำเงี้ยว” เสิร์ฟพร้อมเครื่องเคียงอย่าง ผักกาดดองหั่นฝอย, กะหล่ำปลีหั่นฝอย และพริกแห้งทอด

นอกจากข้าวซอยและน้ำเงี้ยวแล้ว ร้านรสมือแม่ยังมีอาหารเหนืออีกหลายเมนู อาทิ น้ำพริกอ่อง, ไส้อั่ว, แกงฮังเล, แกงอ่อม, แกงแค ฯลฯ และยังมีเมนู “สเต๊ก” ที่ลูกค้าส่วนใหญ่ที่ไปที่ร้านนี้มักจะสั่งทานกัน

ใครสนใจอาหารเหนือ “ร้านรสมือแม่” ร้านนี้อยู่ในซอยชินเขต 2/40 หลังมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ เข้าทางถนนวิภาวดีรังสิตตรงนอร์ท ปาร์คก็ได้ เปิดทุกวัน 10.00-22.00 น. สอบถามเส้นทาง โทร. 08-6378-9454 08-6378-9454 ซึ่งร้านนี้ก็พิสูจน์กับ “ช่องทางทำกิน” ว่าอาหารเหนือ ไม่ต้องขายที่เมืองเหนือก็ได้ !!.


บดินทร์ ศักดาเยี่ยงยงค์ : รายงาน

ขอบ คุณที่มา เดลินิวส์

‘ที่ติดตู้ เย็น น่ารักๆ’ พลิกแพลงได้ขายคล่อง

ศิลปะตัดแปะสร้างลวดลายต่าง ๆ แบบญี่ปุ่นที่เรียกว่างาน “โอชิเอะ” เป็นหนึ่งในงานฝีมือที่คนไทยก็นิยมทำ โดยพัฒนาดัดแปลงจนเป็นศิลปะผ้าไทยประดิษฐ์ที่มีเอกลักษณ์ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นงานชิ้นใหญ่ที่ขายในราคาสูง แต่ก็มีคนคิดย่อขนาดทำเป็น “ที่ติดตู้เย็น” จนเป็น “ช่องทางทำกิน” ได้อย่างน่าสนใจ...

ยุพิน ผูกพานิช เจ้าของงานฝีมือดังกล่าวนี้เล่าว่า เดิมทีทำงานเป็นพนักงานบริษัท ต่อมาคิดได้ว่าอาชีพพนักงานประจำเริ่มมีความเสี่ยงเพราะเศรษฐกิจไม่ดี น่าจะวางแผนล่วงหน้าให้กับชีวิต จึงตัดสินใจศึกษางานประดิษฐ์ต่าง ๆ ซึ่งก็สนใจงานศิลปะโอชิเอะที่คนไทยนำมาเรียกใหม่ว่าเป็นงานศิลปะผ้าไทย ประดิษฐ์ และเริ่มทำเป็นอาชีพมาตั้งแต่ปี 2543 รายได้ก็เรียกว่าพออยู่ได้ โดยทำเป็นชิ้นงานขนาดใหญ่ ในลักษณะของภาพสำหรับใส่กรอบรูปหรือแขวนติดผนัง ซึ่งงานส่วนใหญ่ที่ทำเป็นภาพติดผนัง หรือใส่กรอบรูป จะเน้นไปที่งานศิลปะไทย เช่น ภาพสัตว์หิมพานต์, ลวดลายไทย กับภาพวิวทิวทัศน์เป็นหลัก แต่ต่อมาคิดได้ว่าหากนำรูปแบบของงานดังกล่าวมาปรับขนาดย่อส่วนให้เล็กลง ก็สามารถขายในราคาที่ต่ำกว่า อาจจะทำให้ขายงานได้ง่ายยิ่งขึ้น

สุด ท้ายก็เริ่มทำ “ที่ติดตู้เย็น” หรือที่เรียกว่า “แมกเนต”

ยุพินเล่า ว่า ในระยะแรกที่ทำ รูปแบบส่วนใหญ่จะเน้นที่ “ตุ๊กตาสัตว์” อาทิ ช้าง, ยีราฟ, แพนด้า เป็นหลัก ต่อมาก็พัฒนาเป็นรูปแบบ “ตัวการ์ตูน” ที่ดูน่ารัก เช่น ตุ๊กตากิโมโน, ตุ๊กตาเด็กผู้หญิงจีน (อาหมวย), เด็กหัวเห็ด เป็นต้น ซึ่งตอนนี้มีสินค้าอยู่ราว 20 แบบ และจากรูปแบบที่ผลิตเป็นที่ติดตู้เย็น ต่อมาก็พัฒนาเป็นพวงกุญแจ, ที่ห้อยโทรศัพท์มือถือ เพิ่มขึ้นมา โดยราคาขายปัจจุบันอยู่ที่ชิ้นละ 39 บาท

“เรามองว่าถ้าจะนั่งรอขาย แต่ชิ้นใหญ่ ๆ คงไม่ได้ เศรษฐกิจไม่ดี น่าจะขายได้ยากขึ้น เนื่องจากสินค้าค่อนข้างมีราคาสูง ก็เลยคิดย่อส่วนชิ้นงานลง มา แต่ก็ต้องหารูปแบบใหม่ด้วย ก็มาลงเอยที่ที่ติดตู้เย็น”

ทุนเบื้องต้น อาชีพนี้ ทำเล็ก ๆ ใช้ประมาณ 1,000 บาทก็พอ ส่วนใหญ่เป็นค่าอุปกรณ์ ขณะที่ทุนวัตถุดิบอยู่ที่ประมาณ 30% ของราคาขายเท่านั้น ซึ่งถือว่าเป็นงานที่ใช้เงินลงทุนต่ำ และใช้ทุนวัตถุดิบน้อย เมื่อเทียบกับงานประดิษฐ์ชิ้นอื่น ๆ โดยงานนี้เป็นงานที่เน้นฝีมือและจินตนาการในการทำเป็นสำคัญ

สำหรับ วัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ก็มี ปากกาหัวแร้ง, ปืนยิงกาว-กาวร้อน, กรรไกรตัดกระดาษ, คัตเตอร์, คีมปากคีบ, แม่เหล็ก, วัสดุตกแต่ง, กระดาษสา, เศษผ้าไหม, กระดาษแข็ง, สีอะคริลิกหรือสีโปสเตอร์, ฟองน้ำ

ขั้นตอนการทำ เริ่มจากการขึ้นแบบ (แพทเทิร์น) ของตุ๊กตาที่จะทำ โดยใช้การร่างแบบส่วนประกอบต่าง ๆ ของตัวตุ๊กตา เช่น หัว, แขน, ขา ลงบนกระดาษแข็ง ใช้กรรไกรหรือคัตเตอร์ตัดกระดาษที่ร่างแบบส่วนต่าง ๆ ออกจากกัน เสร็จแล้วนำแบบที่ได้มาทาบลงบนเศษผ้าไหมและฟองน้ำ จากนั้นตัดตามรอย

เมื่อได้ส่วนประกอบต่าง ๆ แล้ว ให้นำฟองน้ำมาวางบนชิ้นส่วนของตุ๊กตา (กระดาษแข็ง) นำเศษผ้าไหมที่ตัดไว้มาหุ้มทับฟองน้ำและกระดาษ เชื่อมติดกันด้วยกาวร้อน จากนั้นนำกระดาษสามาหุ้มปิดบริเวณด้านหลังของตุ๊กตา แล้วทำการเชื่อมติดแม่เหล็กเข้าที่ด้านหลังของตุ๊กตาด้วยกาวร้อน เมื่อติดส่วนประกอบต่าง ๆ เสร็จแล้วก็ถึงขั้นตอนการตกแต่งตัวตุ๊กตา ซึ่งการตกแต่งหน้าตาของตุ๊กตานั้นเจ้าของผลงานแนะนำเคล็ดลับว่า ควรเลือกสีที่ใช้ให้กลมกลืนกับลวดลายของผ้าที่อยู่บนตุ๊กตา เมื่อตกแต่งด้วยสีแล้วก็ทิ้งไว้ให้สีแห้ง เป็นอันเสร็จ

“งานนี้ สามารถทำขายไปได้เรื่อย ๆ ไม่มีตันแน่นอน เพราะเปลี่ยนรูปแบบได้เรื่อย ๆ แต่จุดสำคัญต้องเข้าใจกลุ่มลูกค้า ต้องรู้ว่าจะขายสินค้าให้ลูกค้ากลุ่มไหน เพราะสินค้าแต่ละแบบก็มีกลุ่มที่นิยมไม่เหมือนกัน เช่น ตุ๊กตาช้าง จะขายดีกับลูกค้าต่างชาติ ขณะที่แบบที่เป็นตุ๊กตาจะขายดีกับกลุ่มวัยรุ่นและพนักงานออฟฟิศ ดังนั้นจะต้องเข้าใจว่าลูกค้าในตลาดของเราเป็นกลุ่มใดบ้าง” ยุพิน ผูกพานิช เจ้าของผลงานแนะนำเรื่องตลาด

สนใจงานของยุพิน ติดต่อได้ที่ 26/22 หมู่ 10 ต.ลาดสวาย อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี หรือที่ตลาดนัดสวนจตุจักร โครงการ 7 ซอย 3 โทร. 0-2152-3852 อีเมล yupin.fabricart@hotmail.com ซึ่งถ้าใครสนใจอยากจะทราบข้อมูลการทำที่ลึกกว่าที่ว่ามา ก็ลองสอบถามโดยตรงจากเจ้าของผลงานนี้ได้เลย.

ศิริโรจน์ ศิริแพทย์ : รายงาน

ที่มา เด ลินิวส์

‘ทับทิม กรอบรวมมิตร’ ขายคล่อง-ทุนต่ำ-ทำไม่ยาก

“ทับทิมกรอบ” ขนมหวานไทย ๆ ที่มีรสชาติหอมหวานเป็นที่ถูกใจใคร ๆ หลายคน เป็นขนมที่ทำไม่ยาก ทำขายหารายได้เข้ากระเป๋าได้ดีไม่แพ้อาชีพอื่น อย่างรายที่ทีม “ช่องทางทำกิน” มีข้อมูลมาบอกต่อ...

ยุก-เกศิณี ทรัพย์สุรกุล เจ้าของสูตร “ทับทิมกรอบรวมมิตร” เล่าว่า จริง ๆ แล้วก็ไม่ได้เริ่มจากการเป็นแม่ค้าขายขนมหวานมาตั้งแต่ต้น หลังจากสำเร็จการศึกษาด้านบริหารจัดการก็เข้าทำงานเป็นพนักงานออฟฟิศอยู่ ประมาณ 4-5 ปี ตอนหลังเริ่มเกิดความรู้สึกเบื่อในระบบงาน มีความคิดอยากจะทำธุรกิจส่วนตัวมากกว่า จึงออกจากงานและเริ่มมองหาหนทางทำธุรกิจ ซึ่งด้วยความที่เป็นคนชอบทานขนมทับทิมกรอบ และพอจะมีความรู้พื้นฐานในการทำอยู่บ้าง จึงมีความคิดที่จะลองทำทับทิมกรอบขาย

เริ่มจากทดลองทำเพื่อหาสูตรที่ เป็นแบบฉบับของตัวเอง และเพื่อให้ได้รสชาติที่ถูกใจ ทดลองทำแล้วก็ให้คนในครอบครัวและเพื่อนบ้านใกล้เคียงทดลองชิม หลายคนให้การตอบรับ จึงได้ตัดสินใจเปิดกิจการขึ้น โดยใช้ชื่อในการดำเนินกิจการว่า “WARASINEE” ทับทิมกรอบรวมมิตร และสาคูนมสดแคนตาลูป

“ทับทิมกรอบรวมมิตรจะต้องมีรสชาติที่หอมหวาน ชื่นใจของน้ำกะทิ และต้องใส่ใจคุณภาพของวัตถุดิบอย่างมาก วัตถุดิบที่ใช้ทำจะต้องเน้นความสดใหม่ ที่สำคัญขนมที่ทำจะต้องไม่ใส่สารกันเสีย” เจ้าของสูตรกล่าว

สำหรับ วัตถุดิบที่ใช้ในการทำทับทิมกรอบรวมมิตร หลัก ๆ ประกอบด้วย เนื้อแห้วหั่นสี่เหลี่ยมลูกเต๋า, แป้งมัน, น้ำหวานสีแดง, กะทิสด, น้ำตาล, เกลือ, ดอกมะลิ และน้ำเชื่อม เป็นต้น

การเลือกสรรวัตถุดิบนั้น เกศิณีบอกว่า “แห้วที่ใช้ทำทับทิมกรอมนั้นจะต้องสั่งที่เป็นผลใหญ่ ๆ เพราะเวลาทำจะทำให้ตัวขนมนั้นกรอบอร่อย”

ในส่วนของอุปกรณ์การทำนั้น ส่วนใหญ่ก็เป็นอุปกรณ์ที่มีอยู่ในครัวเรือนทั่วไปอยู่แล้ว

ขั้นตอน การทำ เริ่มจากนำแห้วมาปลอกเปลือกแล้วทำการหั่นให้เป็นสี่เหลี่ยมลูกเต๋า จากนั้นนำไปแช่ในน้ำหวานสีแดง โดยใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง เพื่อให้สีแดงของน้ำหวานติดเข้าไปในเนื้อแห้ว เมื่อได้แห้วเป็นสีแล้วก็นำไปคลุกเคล้ากับแป้งมัน กะดูว่าแป้งเกาะติดเนื้อแห้วจนทั่ว ก็ทำการร่อนแป้งออก แล้วทำซ้ำอีก 1 ครั้ง

ขั้นตอนต่อไปก็นำน้ำใส่หม้อยกขึ้นตั้งไฟให้น้ำเดือด จากนั้นก็นำแห้วที่คลุกแป้งเตรียมไว้ใส่ลงไปต้มในน้ำเดือด ใช้เวลาต้มประมาณ 3 นาที ดูจนแป้งที่เคลือบแห้วนั้นใสและแห้วลอยขึ้นมา ก็ใช้ได้

ไม่ ควรต้มแห้วนานเกินไป เพราะจะทำให้แป้งที่เคลือบแห้วไว้หลุดออกมา ทำให้ไม่สวยงาม

เมื่อต้มจนตัวทับทิมกรอบสุกได้ที่ลอยขึ้นมา ก็ใช้กระชอนตักขึ้นมาใส่ลงไปในน้ำเย็นสักพักเพื่อให้แป้งอยู่ตัว จากนั้นให้ตักขึ้นมาแช่ลงในน้ำเชื่อมที่เตรียมไว้อีกที เป็นอันเสร็จการทำ “ตัวทับทิมกรอบ”

ส่วนการทำ “น้ำกะทิ” เริ่มจากนำเอาหัวกะทิสดไปตั้งไฟ จากนั้นใส่น้ำตาลและเกลือ ถ้าใช้หัวกะทิ 1 กิโลกรัม ก็ใช้น้ำตาล 1 กิโลกรัม เกลือ 1 ช้อนชา ทำการเคี่ยวให้เดือด ส่วนผสมเข้ากันเป็นเนื้อเดียว ใช้เวลาประมาณ 10 นาที ยกลง แล้วนำดอกมะลิสดใส่ในชามที่มีหู นำลงเกี่ยวกับขอบหม้อน้ำกะทิ จากนั้นปิดฝาหม้ออบน้ำกะทิกับดอกมะลิทิ้งไว้ 1 คืน ก็จะได้น้ำกะทิที่มีกลิ่นหอมชื่นใจ และเข้ากับทับทิมกรอบอย่างลงตัว

เครื่อง ต่าง ๆ ที่ต้องเตรียมไว้ใส่กับทับทิมกรอบ ทำเป็น “ทับทิมกรอบรวมมิตร” นั้น ก็มีอาทิ สลิ่ม แห้วเชื่อม เนื้อมะพร้าวกะทิสด
เกศิณีบอกว่า อาชีพนี้ถ้าทำเล็ก ๆ ลงทุนครั้งแรกใช้ทุนประมาณ 5,000 บาทก็น่าจะพอ ส่วนทุนวัตถุดิบและรายได้นั้น ถ้าใช้ทุนค่าของประมาณ 1,000 บาท จะทำได้ประมาณ 120 ถ้วย ขายหมดจะได้ประมาณ 2,400 บาท โดยขายราคาถ้วยละ 20 บาท ถ้าเป็นแบบพิเศษเพิ่มเครื่องก็ 30 บาท


ร้าน “ทับทิมกรอบรวมมิตร” และสาคูนมสดแคนตาลูปของเกศิณี อยู่ที่ตลาดลุงเพิ่ม หลังการบินไทยสำนักงานใหญ่ แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กรุงเทพฯ ขายตั้งแต่เวลา 08.30-15.30 น. ทุกวันจันทร์-วันเสาร์ ใครต้องการรับไปจำหน่ายต่อก็ได้ ติดต่อสอบถาม โทร.08-1869-9541


บดินทร์ ศักดาเยี่ยงยงค์ :รายงาน


คู่ มือลงทุน...ทับทิมกรอบรวมมิตร
ทุนเบื้องต้น ประมาณ 5,000 บาทขึ้นไป
ทุน วัตถุดิบ ประมาณ 1,000 บาท / 120 ถ้วย
รายได้ ประมาณ 2,400 บาท / 120 ถ้วย
แรงงาน 1 คนขึ้นไป
ตลาด ย่านอาหาร, ตลาดนัด, ชุมชน
จุดน่า สนใจ ลงทุนต่ำ ทำไม่ยาก รายได้ดี


ที่มา เดลินิวส์

'ตุ๊กตา ถุงเท้า' ไอเดียเก๋ไก๋-รายได้สวย

"ถุงเท้า” สามารถนำมาประดิษฐ์เป็น “ตุ๊กตา” ได้ เป็นอีกงานไอเดียสร้างมูลค่าเพิ่ม และเป็นสินค้าที่สามารถสร้างรายได้ ซึ่งวันนี้ทีม “อาชีพเสริม สร้างรายได้” ก็มีข้อมูลการทำ “ตุ๊กตาถุงเท้า” มานำเสนอ...

อาภรณ์ศิลป์ กันณิกา หรือ น้อง อายุ 27 ปี เรียนจบด้านวิศวกรรมโยธาจากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีมหานคร แล้วก็เข้าทำงานเป็นวิศวกรโยธาอยู่ที่บริษัทแห่งหนึ่ง ส่วนเจ้า “ตุ๊กตาถุงเท้า” หรือซอค ดอลล์ (Sock doll) นี้ ทำจำหน่ายเป็นอาชีพเสริม ซึ่งก็สามารถทำรายได้ที่น่าสนใจ จึงทำเป็นงานเสริมมาเรื่อย ๆ

ความ เป็นมาของการที่มาทำงานประเภทนี้ เจ้าของผลงานเล่าว่า เริ่มมาจากการที่ต้องการจะทำตุ๊กตาให้กับคนพิเศษในวันวาเลนไทน์ และเห็นพี่สาวทำตุ๊กตาถักไหมพรมอยู่ก่อนแล้ว จึงเกิดความคิดที่จะลองหาวัสดุอื่นมาลองทำ ก็ทดลองนำเอา “ถุงเท้า” มาทำ พอทำตุ๊กตาถุงเท้าเสร็จเป็นตัวแรกก็ได้นำรูปไปลงใน ไฮไฟว์ แล้วบังเอิญเพื่อนเข้ามาเห็นเลยอยากได้ จึงสั่งให้ผลิตตุ๊กตาให้ 2 คู่ แล้วจากนั้นก็มีออร์เดอร์สั่งเข้ามาอีกเรื่อย ๆ

“ตอนนั้นจำได้ว่า รู้สึกดีใจมาก จากที่ตอนแรกคิดว่าจะทำให้กับคน พิเศษในวันวาเลนไทน์เท่านั้น พอมีคนเริ่มสนใจมากขึ้นเรื่อย ๆ เลยคิดที่จะลงทุนทำอย่างจริงจัง โดยใช้เวลาหลังเลิกงานและวันหยุดในการผลิตตุ๊กตาถุงเท้า ส่วนช่องทางการจำหน่ายก็นำไปลงประกาศขายตามเว็บไซต์ ซึ่งก็ได้รับการตอบรับจากลูกค้าทั้งกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดเป็นอย่างดี มีผู้สนใจสั่งสินค้าเข้ามาเรื่อย ๆ”

เจ้าของผลงานบอกต่อไปว่า วัตถุดิบต่าง ๆ ที่ใช้ในการผลิตนั้น ส่วนใหญ่จะไปหาซื้อที่ย่านสำเพ็ง เพราะมีให้เลือกหลากหลาย ที่สำคัญคือมีราคาถูก ทำให้สามารถผลิตตุ๊กตาถุงเท้าได้ในต้นทุนที่ไม่สูงมาก ซึ่งการลงทุนทำตุ๊กตาถุงเท้านั้น ใช้เงินลงทุนเบื้องต้นประมาณ 3,000 บาท

“งาน ตุ๊กตาถุงเท้านั้นเป็นงานแฮนด์เมด งานทุกชิ้นที่ทำจึงไม่ ซ้ำใคร แต่ที่สำคัญการทำตุ๊กตาถุงเท้าจำหน่ายต้องพยายามออกแบบใหม่ ๆ ออกมาเรื่อย ๆ และบางครั้งลูกค้าต้องการแบบพิเศษเราก็ต้องพยายามออกแบบให้กับลูกค้าให้ได้ ต้องตอบสนองความต้องการให้กับลูกค้าให้ได้”

สำหรับวัสดุอุปกรณ์ใน การทำ “ตุ๊กตาถุงเท้า” หลัก ๆ มีดังนี้คือ... ถุงเท้าสี เกรด A (เน้นสีสันสวยงาม), ถุงเท้าสีขาว, ใยสังเคราะห์เกรด A, เข็มเย็บผ้า, ด้ายวีนัส, ไหมพรม, ปืนกาว, ดินสอ, กรรไกร

ขั้นตอน-วิธีการทำตุ๊กตา ถุงเท้า เริ่มจากการทำลำตัวของตุ๊กตาเป็นอันดับแรก โดยนำถุงเท้าสีมากลับเอาด้านในออกมาด้านนอก จากนั้นใช้ดินสอร่างแบบตัวตุ๊กตา แล้วใช้ด้ายสี (ซึ่งต้องใช้ด้ายสีเดียวกับตุ๊กตาเพื่อความสวยงาม) ทำการเย็บตามแบบที่ร่างไว้ การเย็บจะใช้การเย็บแบบด้นถอยหลัง เพื่อความสวยงามทนทาน

เมื่อทำการเย็บเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ใช้กรรไกรตัดตามรอยเย็บ จากนั้น ทำการกลับด้านถุงเท้า แล้วใส่ใยสังเคราะห์ให้แน่น เท่านี้ก็จะได้เป็นส่วนตัวตุ๊กตา เตรียมรอไว้
ลำดับ ต่อมาก็เป็นขั้นตอนการทำส่วนหัวของตุ๊กตา ซึ่งการทำส่วนหัวจะใช้ถุงเท้าสีขาว ทำการใส่ใยสังเคราะห์เข้าไปในถุงเท้าให้มีลักษณะกลม แล้วใช้ด้ายมัดให้แน่น

เมื่อ ได้ส่วนหัวของตุ๊กตาแล้วก็นำไปประกอบเข้ากับส่วนตัวตุ๊กตา ยึดติดกันให้แน่นโดยใช้ด้ายเย็บ จากนั้นก็ใช้ด้ายสีด้นตามแนวเส้นที่ร่างไว้บนส่วนตัวของตุ๊กตา เพื่อให้เป็นแขนของตุ๊กตา แล้วนำไหมพรมมาถักเป็นผม ผูกด้วยโบ นำไปติดกับส่วนหัวตุ๊กตา ยึดให้แน่นด้วยกาวจากปืนยิงกาว

ขั้นตอนต่อ ไปคือการตกแต่งตา โดยใช้ด้ายสีน้ำตาลปักทำเป็นตา และใช้ไหมพรมสีแดงปักทำเป็นปาก ทำการปัดแก้มตุ๊กตาด้วยสีสันต่าง ๆ ตามไอเดีย นำถุงเท้าสีส่วนที่เหลือมาทำเป็นหมวกให้กับตุ๊กตา โดยใช้ปืนกาวยึดให้แน่น เท่านี้ก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย

“ตุ๊กตาถุง เท้า” ที่เจ้าของงานรายนี้ทำอยู่ มีหลายแบบ เช่น ตุ๊กตาคู่ชาย-หญิง, ตุ๊กตาแมว, ตุ๊กตากระต่าย โดยมีราคาขายอยู่ที่คู่ละ 100-110 บาท ต้นทุนประมาณ 60% นอกจากนี้ยังสามารถพลิกแพลงทำเป็นชิ้นงานอื่น ๆ เช่น พวงกุญแจตุ๊กตาดุ๊กดิ๊ก, พวงกุญแจตุ๊กตาถักไหมพรม ที่ขายได้ในราคาตัวละ 50 บาท

คุณน้อง-อาภรณ์ศิลป์ใช้เว็บไซต์ www.Welove shopping.com/shop/sock-doll โชว์ “ตุ๊กตาถุงเท้า” สินค้าตัวอย่าง ใครสนใจก็ลองคลิกเข้าไปดู หรือต้องการสั่งก็ติดต่อได้ที่ โทร. 08-6074-7399, 08-1354-5251 ซึ่งนี่ก็เป็นอีกกรณีตัวอย่าง “ไอเดียสร้างงาน-สร้างรายได้”.

บดินทร์ ศักดาเยี่ยงยงค์ : ........รายงาน ..........ที่มา เดลินิวส์

‘ตู้(เรือ)ปลา ’ งานขายไอเดียราคาดี

สินค้าที่มี กลุ่มลูกค้าเป็นคนชอบเลี้ยงสัตว์ยังทำเงินได้ทุกสภาวะเศรษฐกิจ ซึ่งก็รวมถึง “ตู้ปลา” ยิ่งหากดัดแปลงให้แตกต่างแปลกใหม่ได้ก็จะยิ่งดี อย่างเช่นรายที่ทีม “ช่องทางทำกิน” จะนำเสนอวันนี้....

“ธนากร วิโนทพรรษ์” จากคนที่เรียนด้านกฎหมาย แล้วใช้เวลาว่างไปทำงานเกี่ยวกับเซรามิกกับเพื่อนพี่สาว ต่อมาผันตัวทำธุรกิจเกี่ยวกับศิลปะกระจก สลักลาย พ่นทราย ออกแบบทำบานประตู หน้าต่าง ฯลฯ และเป็นเจ้าของร้าน “รอยทราย” ภายหลังมีความคิดใหม่โดยเปลี่ยนแปลงนำกระจกมาทำเป็นผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นกรอบรูป โคมเทียน โคมไฟ ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี และต่อมายังคิดทำสินค้าใหม่อีกชนิด

คิดทำ “ตู้ปลาเรือปลา” อีกสินค้าที่น่าสนใจ

ธนากรเล่าว่า งาน กระจกที่ทำนั้นจะเป็นงานศิลปะเฉพาะ งานทุกชิ้นจะเน้นการออกแบบและทำขึ้นมาใหม่ แต่พอทำอยู่ระยะหนึ่งเริ่มมีคู่แข่งทางการตลาดมากขึ้น ในปี 2540 จึงย้ายไปเปิดร้านอยู่ที่พนัสนิคมซึ่งเป็นบ้านเกิด พอในปี 2543 ก็เริ่มคิดนำกระจกมาทำเป็นผลิตภัณฑ์อื่น ๆ และต่อมาก็ปิ๊งไอเดียทำ “ตู้ปลา” ที่เป็น “เรือ” ที่แตกต่างจากตู้ปลาที่มีขายกันอยู่ทั่วไป เป็นทางเลือกให้กับผู้ที่ชอบเลี้ยงปลาและต้องการตกแต่งบ้าน

สำหรับ วัสดุอุปกรณ์ในการทำตู้ปลาเรือปลานั้น หลัก ๆ ก็มี กระจกสี, กระจกใสความหนา 6 มม., กระจกเงา, เส้นทองเหลือง, ฟอยส์ทองแดง, มีดตัดกระจก, ตะกั่ว, หัวแร้ง เป็นต้น

กระจกสีนั้นสามารถใช้เศษกระจกที่เหลือใช้มาทำก็ได้ เพื่อเป็นการลด ต้นทุน

ขั้นตอนการทำตู้ปลาเรือปลา เริ่มจากการออกแบบรูปทรงเรือลงบนกระดาษก่อน จากนั้นเมื่อได้แบบตามที่ต้องการแล้วก็เริ่มทำการตัดกระจกใสมาทำเป็นตัวตู้ ปลา โดยตัดให้เป็นรูปตัวแอลหงาย ส่วนด้านหลังให้ใช้กระจกเงา เพื่อให้เกิดการสะท้อนเงาในตู้เพื่อเพิ่มความสวยงาม

เมื่อได้ชิ้น ส่วนกระจกที่จะใช้ทำเป็นตู้ปลาครบแล้ว ก็นำทั้งหมดประกอบติดกัน โดยใช้ซิลิโคนยิงเชื่อมให้แน่น หลังจากที่ประกอบตู้เรียบร้อยแล้วก็ทำการเทสต์ตู้โดยใส่น้ำลงไปในตู้ ทิ้งไว้เพื่อให้แน่ใจว่าตู้ไม่มีรอยรั่ว

จากนั้นก็มาทำโครงเรือ สำหรับครอบตู้ปลา เริ่มจากการใช้เส้นทองเหลืองวางเป็นโครงหลัก ทำการดัดให้เป็นรูปเรือที่ต้องการ แล้วทำการเชื่อมยึดให้แน่น เมื่อได้โครงเรือแล้วก็มาถึงขั้นตอนการติดกระจก โดยจะตัดกระจกสีเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้าชิ้นเล็ก ๆ ทำการลบคมให้เรียบร้อย ห่อด้วยเส้นฟอย
ส์ทองแดงให้รอบกระจก จากนั้นก็นำมาประกอบติดกับโครงเรือ ใช้ตะกั่วและหัวแร้งเชื่อมติดให้แน่น ประกอบจนเป็นรูปเรือตามแบบ

หลัง จากทำการเชื่อมต่อเสร็จเรียบร้อย ก็นำน้ำยาแพทติน่า (patina) มาทาลงบนเส้นต่อที่ใช้ตะกั่วเชื่อมเพื่อให้เป็นสีดำ ซึ่งการทำเช่นนี้จะทำให้รูปลักษณ์ชิ้นงานออกแนวโบราณ ดูมีคุณค่ายิ่งขึ้น

ส่วน สีของกระจกที่ใช้นั้นก็ขึ้นอยู่กับการดีไซน์ของแต่ละคน

ขั้นตอนต่อไป นำโครงเรือที่เสร็จเรียบร้อยไปล้างทำความสะอาดด้วยผงซักฟอกแล้วตากแดดให้ แห้ง เพื่อล้างรอยตะกั่วและสิ่งสกปรกที่ติดกระจกออกให้กระจกใสดูสวยงาม จากนั้นก็นำมาครอบใส่ตู้ปลาที่ทำเตรียมไว้ ทำการตกแต่งตู้ปลาให้สวยงาม แล้วติดตั้งไฟใส่เข้าไป เท่านี้ก็จะได้ตู้ปลาที่เป็นรูปเรือตามที่ต้องการ

ตู้ ปลารูปเรือ หรือ “ตู้ปลาเรือปลา” ไอเดียของธนากรนี้ เป็นทั้งตู้เลี้ยงปลา และเป็นของแต่งบ้านไปในตัว ซึ่งในการทำออกจำหน่ายนั้นก็มีหลายขนาด โดยราคาขายก็มีตั้งแต่ 6,000 บาทขึ้นไป ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับขนาดของชิ้นงานและการตกแต่ง ในขณะที่ต้นทุนนั้นอยู่ที่ประมาณ 70-80% ของราคาขายแต่ละชิ้น

การทำ อาชีพหรือการสร้างชิ้นงานลักษณะนี้ อาศัยฝีมือช่างบวกกับศิลปะ-ความคิดสร้างสรรค์ ซึ่งอาจจะดูว่าทำได้ไม่ง่ายนัก แต่จริง ๆ แล้วก็สามารถฝึกฝนกันได้ไม่ยาก และสามารถเป็น “ช่องทางทำกิน” ที่ดี

ใครสนใจงานของธนากร ร้านของเขาอยู่ที่เลขที่ 16 จันทร์อำนวย อ.พนัสนิคม จ.ชลบุรี โทร. 08-1762-2546, 0-3846-2345 นอกจากตู้ปลารูปเรือแล้ว ยังมีงานกระจกที่น่าสนใจอีกหลายอย่าง.

บดินทร์ ศักดาเยี่ยงยงค์ : รายงาน เครดิตจาก เดลินิวส์

เทียนหอมกัน ยุง

ใครชอบแต่ง บ้านให้ได้ทั้งความสวยงามและได้ประโยชน์ด้วยละก็ นี่แหละ ใช่เลย เทียนหอมกันยุง เป็นงานหัตถกรรมที่มีความสวยงามสามารถตกแต่งได้ตามใจผู้ทำ สิ่งที่จะต้องเรียนรู้ก็เป็นเรื่องของวัสดุต่างๆที่นำมาใช้และเทคนิค วิธีทำ เมื่อทราบขั้นตอนต่างๆเหล่านี้เมื่อได้ลงมือทำไปบ้างแล้วที่นี้ล่ะ แบบเทียนสวยๆหอมๆจากใจคุณก็จะออกมาได้เอง ยังไงส่งภาพมาให้ดูกันบ้างนะครับ
มา เข้าเรื่องกันเลยดีกว่า เรามาดูกันว่าจะต้องใช้อุปกรณ์อะไรบ้าง

1 หม้อหุงข้าวไฟฟ้า ใช้สำหรับละลายเทียนเพื่อความสะดวก เพราะตัวหม้อจะมีระบบตัดไฟเมื่อน้ำเทียนเดือด เมื่อเทียนแข็งตัวและเราต้องการให้เทียนหลอมละลายอีกเราก็กดปุ่มอีกครั้ง

2 หม้อสองชั้นสำหรับตุ๋นเทียน ชั้นล่างเป็นหม้อใบใหญ่กว่าสำหรับใส่น้ำ ใบบนสำหรับใส่เทียนเป็นหม้อใบเล็กกว่ามีด้ามจับ ถ้าใช้หม้อชั้นเดียวเนื้อเทียนจะถูกความร้อนโดยตรงซึ่งร้อนเกินไปและไม่ สะดวกแก่การทำงาน

3 ถาดขนมสี่เหลี่ยมขนาดต่างๆ ควรเป็นแบบที่ทำจากอลูมิเนียมจะได้ทนความร้อนได้ดี

4 ช้อน สำหรับตักเทียน

5 แม่พิมพ์ สำหรับยอดเทียนให้เป็นรูปต่างๆ

6 เหล็กคีบ ใช้หนีบภาชนะร้อนๆจะได้ไม่ร้อนมือ

7 กาละมังสเตนเลสใบเล็ก

8 ทัพพีกลมสำหรับตักน้ำเทียน

9 กรรไกรสำหรับตัดแต่งเทียน

10 แม่พิมพ์ สำหรัยยอดเทียนให้เป็นรูปต่างๆ กรณีที่ต้องการทำรูปแบบต่างๆให้ดูสวยงาม

11 เหล็กแหลม สำหรับปักไส้เทียน


วัสดุที่เราใช้ในการทำเทียน

1 พาราฟินแวกซ์ มีลักษณะเป็นของแข็งใสมีทั้งแบบก้อนและเม็ด มีจุดหลอมเหลวที ่58°c - 62°c
2 โพลีเอททีลีนแวกซ์ หรือที่นิยมเรียกกันติดปากว่า พีอี หรือโพลีเอสเตอร์ เอสเตอร์รีน มีลักษณะเป็นเกล็ด ช่วยทำให้เทียนจุดได้นานขึ้นปกติจะใช้ประมาณ 2--10 เปอร์เซนต์

3 สเตียริคเอซิค ช่วยทำให้เทียนมีผิวลื่นแกะออกจากพิมพ์ง่าย มีทั้งแบบเป็นเกล็ดและเม็ดไข่ปลา ปกติจะใช้ 4 ช้อนโต๊ะต่อพาราฟิน 1/2 กก.
4 ไมโครแวกซ์ ช่วยทำให้เทียนมีความเหนียวง่ายต่อการปั้นหรือแกะสลัก มีลักษณะเป็นแผ่นสีขาว ถ้าใช้แบบคุณภาพต่ำจะทำให้มีควันมาก
5 ไส้เทียน มี 2 แบบคือแบบที่ฟอกแล้วจะมีสีขาวและแบบที่ยังไม่ได้ฟอกจะมีสีขาวขุ่น
6 สีผสมเทียน
7 น้ำมันตะไคร้หอม

เรื่องของวัสดุในการทำเทียนหอมกัน ยุงผมได้แจงรายละเอียดไว้เผื่อสำหรับในการทำเทียนแบบสวยงามด้วยเลย จึงดูค่อนข้างจะมีส่วนประกอบมาก ลองทำดูก็แล้วกันครับมีไอเดียอะไรในเรื่องของรูปแบบหน้าตาก็ดัดแปลงได้ไม่ ผิดกติกา วัสดุหาซื้อได้ตามร้านเครื่องเขียนโดยเฉพาะร้านใหญ่ๆจะมีขายส่วนอุปกรณ์หา ซื้อได้ตามซุปเปอร์มาเก็ตตามห้างสรรพสินค้าทั่วไป บางรายการเช่นแบบพิมพ์ขนมรูปต่างๆมีขายตามร้านขายอุปกรณ์ทำขนม

วิธีทำ

1 นำแผ่นฟาราฟินแวกซ์หั่นเป็นท่อนๆใส่หม้อขึ้นตั้งความร้อนปานกลาง เคี้ยวไปจนละลายเป็นของเหลว
2 ใสสีตามลงไปโดยใส่ทีละน้อยตามต้องการคนจนสีเนียนเข้ากันทั่วทั้งหม้อหากสี จืดไปค่อยเติมสีเพิ่ม
3 ใส่หัวน้ำมันตะไคร้หอมประมาณ 3-4 หยดต่อเทียน 1/2 กก.
4 หยอดเทียนใส่พิมพ์ รอจนแข็งตัวจึงแกะออกจากพิมพ์ ตกแต่งผิวด้วยมีดหรือกรรไกร หรืออาจหยอดใส่ถ้วยแก้วเล็กๆก็ได้
5 นำมาตกแต่งด้วยริบบิ้นหรืออื่นๆเพื่อให้ดูสวย

ที่มาของบทความ http://www.archeep.com/
กระดุม (1) กระเป๋าหนัง (1) กระเพาะปลาน้ำแดง (1) กระยาสารท (1) กับข้าวถุง (1) กาแฟชัก (1) การประกอบอาชีพอิสระ (1) การเพาะ เห็ด (1) ขนมเค้ก (1) ขนมโบราณทำเงิน (1) ขนมเปี๊ยะ (1) ขนมเปี๊ยะอบเทียน (2) ขยะ ลวด (1) ของฝาก (1) ขาย (1) ขายคล่อง (2) ขายความสนุก (1) ขายน้ำผลไม้ ปั่น (1) ขายปลาทูนึ่ง (1) ขายไอเดีย (1) ข้าวซอย (1) คลับแอสทีเรีย (1) เครื่องดื่ม (2) โคมไฟดินหอม (1) งาน (2) งานขายไอเดียราคาดี (1) งานประดิษฐ์ (2) งานผ่าน เน็ต (1) งานไม้ (1) งานเสริม (1) จ๊อปลาทู (1) จากดินญี่ปุ่น (1) ซองใส่มือถือ (1) ซาลาเปา (1) ซีฟู้ดกระทะ (1) โดนัทเค้ก (1) ติดตู้เย็น (1) ติดเสื้อ (1) ตุ๊กตา ถุงเท้า (1) ตุ๊กตาไทย (1) ตุ๊กตาไม้โย โย่-ล้มลุก (1) ตุ๊กตาโยโย่ (1) ตู้(เรือ)ปลา (1) ถักทอจินตนาการ (1) ถั่วแดงเย็น (1) ทองพับ (1) ทอลูกปัด (1) ทับทิม กรอบรวมมิตร (1) ทำธุรกิจอะไรดีจึงจะรวย (1) ทำไม่ยาก (1) ทำเองได้ (1) ที่ติดตู้ เย็น (1) ทุนต่ำ (1) เทียนหอมกัน ยุง (1) ธุรกิจแฟรนไชส์ (1) น่ารักๆ (1) น้ำ เงี้ยว (1) น้ำบ๊วย (1) บะหมี่-เกี๊ยว (1) บีบี (1) บุฟเฟ่ต์ (1) เบเกอรี่ (1) ประดิษฐ์ ดอกไม้ (1) ปาท๋องโก๋เกลียว (1) เป็นอาชีพเสริม (2) แปรรูปผลไม้ (1) ผีเสื้อ ใบยาง (1) พลิกแพลง (1) พวงมาลัยสบู่ (1) เพนท์สี (1) เพื่อสุขภาพ (1) มนุษย์ เงินเดือนมืออาชีพ (1) มีสูตรเด็ดขายที่ไหนก็รวย (1) แมงมุม (1) ย้อมผ้าแบบญี่ปุ่น (1) ยาโมโน ซาชิ (1) ยำทรงเครื่อง (1) รวย (1) รอง เท้านินจา (1) ราคาดี (2) รายได้ (1) รายได้พิเศษ (2) รายได้สวย สร้างรายได้ (4) รายได้เสริม (4) โรตีสไตล์พิซซ่า (1) ลองกอง (1) ลูกเดือยทอดกรอบ (1) ลูกหยีกวน (1) เลี้ยง ผึ้งจิ๋ว (1) วันแม่ (1) สมุนไพรทำเงิน (1) สร้างรายได้ (23) สร้างเลียนแบบ (1) สร้างอาชีพ (11) สินค้าแปรรูป (2) สูตรปักษ์ใต้ (1) ไส้แกง (1) หน้ากากบีบี (1) อาชีพ (1) อาชีพเสริม (29) อาชีพอิสระ (4) อาหารก๊อปปี้ (1) ไอเดียเก๋ไก๋ (1) ไอเดียแปลก (1) ไอศครีมทุเรียน (1) Happy Cake (1)

ผู้ติดตาม

..