วันอังคารที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2553

Happy Cake มิติใหม่เบเกอรี่ ทำเองได้ ขายความสนุก

ใครเคยทำขนมเค้กด้วยตัวเอง คงรู้ดีว่า กว่าจะทำเสร็จต้องผ่านขั้นตอนต่างๆ หลายชั้น

ใช้อุปกรณ์หลายชิ้น ประกอบกับต้องมีเคล็ดลับเฉพาะตัวถึงจะได้เค้กออกมาเนื้อนุ่มฟู รสชาติหอมหวานอร่อย

จากปัญหาความยุ่งยากในการทำดังกล่าว จุดไฟให้ “วิเชียร วงษ์สุรไพฑูรย์” กรรมการผู้จัดการบริษัท เส้นหมี่เหรียญไทย จำกัด สร้างสรรค์ “Happy Cake” นวัตกรรมใหม่ขนมเค้กทำได้ง่ายๆ แค่ใส่ส่วนผสมสำเร็จรูปลงไปถ้วย แล้วเข้าไมโครเวฟ 2.5 นาที ก็จะออกมาเป็นขนมเค้กชั้นยอดพร้อมกินได้ทันที

วิเชียร เล่าว่า บริษัทผลิตสินค้าต่างๆ เกี่ยวกับแป้ง ในยี่ห้อ “สิงห์ดาว” (STAR LION) มาตั้งแต่รุ่นปู่ พ่อ จนมาถึงเขารับช่วงกิจการ พยายามต่อยอดธุรกิจ คิดค้นสินค้านวัตกรรมจากแป้งออกสู่ตลาดต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2540 เช่น เส้นหมี่ข้าวกล้อง เส้นขนมจีนอบแห้ง ฯลฯ เพื่อสร้างจุดเด่น และขยายตลาดสู่ต่างประเทศ


หลักคิดเพื่อก้าวสู่เวทีโลกนั้น เจ้าของธุรกิจ เผยว่า พยายามพัฒนาวัตถุดิบแป้งในประเทศให้สามารถทำเมนูสากลได้ ซึ่งพฤติกรรมผู้บริโภคชาวตะวันตกจะกินเบเกอรี่หรือเค้กเป็นหลัก แป้งที่ใช้ทำ คือ “แป้งสาลี” ส่วนประเทศไทยต้องนำเข้าแป้งสาลี ปีละหลายหมื่นล้านบาท ทั้งๆ ที่ “แป้งข้าวเจ้าไทย” มีคุณสมบัติสามารถทำเค้กได้ดีไม่แพ้กัน

นอกจากนั้น จากการศึกษาพบว่า ในแป้งสาลีมีสาร “กลูเต็น” ซึ่ง 2 ใน 1,000 คน จะมีอาการแพ้เป็นผื่นคันหรือลมพิษได้ ขณะที่แป้งข้าวเจ้าปลอดจากสารตัวนี้100% จึงเห็นช่องทางจะใช้จุดนี้ผลักดันแป้งข้าวเจ้าใช้ทำเค้กทดแทนแป้งสาลี ซึ่งนอกจากจะเป็นโอกาสของบริษัทแล้ว ยังมีส่วนช่วยเกษตรกรไทยอีกด้วย

วิเชียร ขยายความอีกว่า นวัตกรรมการผลิตแป้งเค้กข้าวเจ้า เป็นความร่วมมือระหว่างบริษัทกับมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มีส่วนผสมจากแป้งข้าวเจ้า 3-4 สายพันธุ์ ใช้เวลาวิจัยและพัฒนานานกว่า 4 ปี ด้วยทุนกว่า 10 ล้านบาท โดยเปิดตัวครั้งแรกเมื่อกลางปี 2550 ในแบบผงแป้งเค้กข้าวเจ้าบรรจุกล่อง ส่งออกไปกว่า 10 ประเทศทั่วโลก เช่น กลุ่มอียู ออสเตรเลีย เป็นต้น

และล่าสุด ได้ทุ่มงบอีกกว่า 10 ล้านบาทต่อยอดนวัตกรรมมาทำเป็นเค้กที่ทุกคนเองอย่างง่ายๆ ในรูปแบบ “ควิกคัพเค้ก”(Quick Cup Cake) แบรนด์ “Happy Cake”โดยเป็นถ้วยพลาสติก ภายในมีผงแป้งเค้กข้าวเจ้า และช็อกโกแลตก้อนบรรจุซอง ขั้นตอนการทำง่ายๆ เพียงเท นมสด น้ำมันพืช ไข่ไก่ 1 ฟอง และผงแป้งเค้กข้าวเจ้าลงในถ้วย คนให้เข้ากันแล้วนำเข้าไมโครเวฟ ระดับความร้อนสูงสุด แค่ 2.5 นาที ก็จะออกมาเป็นก้อนเค้กพร้อมกิน แล้วนำช็อกโกแลตก้อนมาละลายบนก้อนเค้กร้อนๆ เพื่อแต่งหน้า นอกจากนั้น สามารถพลิกแพลงนำเครื่องเคียงอื่นๆ มาประดับเพื่อสร้างสีสันเพิ่มความอร่อยยิ่งขึ้น

เจ้าของธุรกิจ ยอมรับว่า รูปแบบ “ควิกคัพเค้ก” ในต่างประเทศมีมานานพอสมควรแล้ว ทว่า บริษัทเป็นผู้ผลิตชาวไทยรายแรก และยังเป็นรายแรกในโลกที่ใช้วัตถุดิบแป้งจาก “ข้าวเจ้า” อีกทั้ง กระบวนทำของ Happy Cake พัฒนาให้ง่ายกว่าที่เคยมีมา

จุด เด่นอีกด้านของ Happy Cake อยู่ที่ความสนุกสนาน ผู้ทำสามารถแต่งหน้าเค้กด้วยตัวเอง หรือทำเค้กกับสมาชิกในครอบครัว ถือเป็นช่วงเวลาแห่งอบอุ่นที่ทุกคนได้ใช้เวลาร่วมกัน

“ผมมีความเชื่อ ว่า ผู้หญิงที่รักการทำขนมทุกคน อยากทำขนมเค้กเป็น ดังนั้น จึงช่วยเพิ่มความสะดวก เมื่อทำเสร็จจะเกิดความภาคภูมิใจ หรือเด็กๆ ที่ทำอาหารไม่ เป็นเลย แต่อยากทำเค้กมอบให้คุณพ่อคุณแม่ในวาระพิเศษๆ ด้วยตัวเอง ก็สามารถทำได้ รวมถึง อยากจะแต่งหน้าเค้กหรือดัดแปลงเค้กอย่างไรก็ได้ ตามจินตนาการ ซึ่งเป็นเสน่ห์ที่ทำให้ทั้งคนทำและผู้รับมีความสุขร่วมกัน” วิเชียร กล่าว

ด้าน รสชาตินั้น ผ่านการวิจัยและพัฒนาจนได้รสชาติที่เชื่อว่า คนส่วนใหญ่จะถูกปาก ได้รับเครื่องหมาย “เชลล์ชวนชิม” การันตี ขณะที่ด้านการผลิตผ่านมาตรฐานด้านอาหารครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็น อย. ฮาลาล GMP HACCP เป็นต้น

ทั้งนี้ ราคาขายอยู่ ที่ ถ้วยละ 69 บาท (น้ำหนัก 135 กรัม) มีด้วยกัน 4 รส ได้แก่ เค้กวานิลาหน้าช็อกโกแลตขาว เค้กวานิลาช็อกโกแลตดำ เค้กมอคคา และเค้กช็อกโกแลต สามารถเก็บไว้นานเป็นปี มีจุดขายใน ซูเปอร์มาร์เกตตามห้างสรรพสินค้าต่างๆ วางกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย คือ ตั้งแต่เด็ก วัยรุ่น ผู้ใหญ่ กลุ่มครอบครัว และร้านกาแฟต่างๆ ซื้อไปบริการลูกค้าในร้าน เป็นต้น

วิเชียร เผยด้วยว่า แม้จะเปิดตัวไม่นาน Happy Cake ได้ผลตอบรับน่าพอใจ ทั้งตลาดในและต่างประเทศ เพราะเริ่มแรกผู้บริโภคต้องการซื้อประสบการณ์จากความเป็นสินค้าแปลกใหม่ เมื่อได้ทดลองแล้ว เกิดความประทับใจ ช่วยเติมเต็มความต้องการ โดยเฉพาะคนเมือง ซึ่งยากจะมีโอกาสทำเค้กได้เอง ลูกค้ากลุ่มนี้จึงกลับมาซื้อซ้ำไว้ประจำครัวเรือน

ส่วนแผนการตลาดใน ปีนี้ (2551) จะใช้ Happy Cake เป็นหัวหอกในการบุกตลาดต่างประเทศ เน้นที่การสร้างเครือข่ายตัวแทนจำหน่ายให้ครอบคลุมมากที่สุด ตั้งเป้าคืนเงินลงทุนได้ภายใน 3 ปี อีกทั้งไม่หยุดนิ่งที่จะออกสินค้านวัตกรรมใหม่จากแป้งต่อเนื่อง

“แม้ ปัจจุบันการทำธุรกิจต่างๆ จะต้องพบปัจจัยลบมากมาย แนวทางที่พาบริษัทฝ่าวิกฤตไปได้ ผมพยายามปรับองค์กรสู่การสร้างนวัตกรรม ซึ่งเป็นการลงทุนที่ประหยัดและคุ้มค่ามากที่สุด ถ้าวันนี้ผมยังยึดกับการทำแป้ง หรือเส้นหมี่อย่างเดียว การค้าทุนนิยมก็จะขับเราออกจากตลาด ดังนั้น ผมจึงเน้นสร้างนวัตกรรมใหม่จากพื้นฐานธุรกิจเดิม เพื่อเพิ่มมูลค่า และจุดเด่นเฉพาะตัว อย่าง Happy Cake ผมขอแค่ผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมาย ซื้อกินเดือนละ 1 ครั้ง ก็เป็นตลาดที่ใหญ่มากสำหรับเราแล้ว”


ที่มา : ผู้จัดการออนไลน์

ขนมเปี๊ยะอบ เทียน

“ช่องทางทำกิน” วันนี้ทางทีมงานมีข้อมูลเกี่ยวกับ “ขนมเปี๊ยะ”มานำเสนอกันอีกครั้ง-อีกรูปแบบ เป็น “ขนมเปี๊ยะอบเทียน” สูตรโบราณ แห่งจ.นครปฐม ที่มีผู้ติดอกติดใจในรสชาติไม่น้อยเลย…

สม ทรง นาคศรีสังข์ เจ้าของขนมเปี๊ยะอบเทียน “ครูสมทรง” ใน อ.บางเลน จ.นครปฐม เล่าว่า ทำขนมเปี๊ยะอบเทียนมานาน 7-8 ปีแล้วเริ่มทำตั้งแต่สมัยยังรับราชการเป็นครู โดยมีเพื่อนสอนให้และส่วนตัวก็เป็นคนชอบทำขนมและอาหารเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ดังนั้นการทำขนมเปี๊ยะจึงเป็นเรื่องไม่ยากเกิน

ที่เลือกขนมเปี๊ยะมา ใช้ค้าขาย เพราะว่าวัตถุดิบอย่างแป้ง ถั่ว เก็บได้ไม่เสียไม่เหมือนกับค้าขายอาหารอีกหลายอย่างที่เก็บไว้นานไม่ได้ เพราะของจะเสียและไข่เค็มที่ต้องใช้ด้วยนั้นในบางเลนก็หาได้ง่ายมากจึงสะดวก ที่จะเลือกทำขนมเปี๊ยะขาย ซึ่งช่วงหลัง ๆ สุขภาพไม่ค่อยดีจึงเออรี่รีไทร์จากข้าราชการมาค้าขายเต็มตัว

ใช้ เทียนหอมอบ เป็นสูตรโบราณ เทียนหอมปัจจุบันราคาค่อนข้างสูง แต่ก็ต้องทำตามมาตรฐานเดิมทุกอย่าง เพื่อความหอมอร่อย

ขนมเปี๊ยะอบ เทียนเจ้านี้มีหลายไส้-หลายแบบ อาทิ ถั่ว-ไข่เค็ม, เผือก,พริกเผา, เผือก, ถั่วดำ, งาดำ และยังมีกะหรี่ปั๊บด้วยส่วนขนมเปี๊ยะที่ขายดีเป็นพิเศษก็เห็นจะเป็นไส้ถั่ว -ไข่เค็ม, เผือกและพริกเผา โดยขนมเปี๊ยะนั้นแม้ว่าในช่วงเศรษฐกิจซบเซาขาลงยอดขายก็ไม่เคยตก ยิ่งเป็นช่วงเทศกาลยิ่งทำขายกันแทบไม่ทัน

มาดูกันว่า “ขนมเปี๊ยะอบเทียน” บางเลนนั้น ทำกันอย่างไร ?

ครูสมทรงอธิบายว่า ทำเหมือนกับขนมเปี๊ยะทั่ว ๆ ไปคือ ต้องมี “แป้งใน” กับ “แป้งนอก”และ ต้องนวดแป้งในก่อน ซึ่งนวดผสมระหว่างแป้งสาลี 1 กก. และน้ำมันพืชหรือเนย 400 กรัม (ของครูสมทรงใช้น้ำมันพืช) เมื่อนวดจนเข้ากันแล้วให้แบ่งแป้งออกมาเป็นก้อนเล็ก ๆ ขนาดหัวแม่มือเตรียมไว้

ส่วนแป้งนอกผสมระหว่างแป้งสาลี 1.5 กก., น้ำมันพืช 800 กรัม, น้ำตาลทราย 300-400กรัม, เกลือนิดหน่อย และน้ำเปล่า 1,100 กรัมนวดด้วยเครื่องให้เข้ากันจนแป้งเนียน แล้วปั้นออกมาเป็นก้อน ๆขนาดเท่ากับหัวแม่มือเช่นเดียวกับแป้งใน

สำหรับ “ไส้ถั่วกวน”ใช้ เม็ดถั่วเขียวผ่าซีก 1 กก. แช่น้ำ 2-3 ชั่วโมง (ถ้าแช่น้ำร้อนจะดีมากเพราะถั่วจะนิ่ม) แล้วนำไปนึ่งให้สุก นำไปบดให้ละเอียดและกวนกับน้ำตาลทราย 700-800 กรัม และกะทิอีก 400 กรัม จนเข้ากันส่วนไข่เค็มนั้น ใช้ไข่แดงจากไข่เป็ดดิบนำไปนึ่งให้สุก

นำ แป้งในและแป้งนอกที่ปั้นเป็นก้อนกลมมารีดออกเป็นแผ่น ๆ วางทับซ้อนกันโดยแป้งนอกห่อแป้งใน รีดแล้วพับ พับแล้วรีด เพื่อให้เกิดชั้นขึ้นมาเมื่อได้ชั้นตามสมควรแล้วก็มาใส่ไส้ถั่วและไข่เค็ม ห่อปิดให้เรียบร้อยทาหน้าด้วยไข่แดงเพื่อเวลาอบสุกจะได้ออกมาเป็นสีเหลือง นวลน่ารับประทาน

อบด้วยความร้อน 250 องศาฯ ใช้เวลา 21 นาที

เมื่อ อบสุกแล้วนำออกมาผึ่งให้เย็นด้วยการเป่าพัดลม หรือผึ่งในห้องแอร์แล้วอบด้วยเทียนควั่นอีกประมาณ 1-3 ชั่วโมง เพื่อความหอมน่าทานและคงสไตล์แบบเดิม ซึ่งครูสมทรงบอกว่ายิ่งอบเทียนนานก็ยิ่งหอมอร่อยไม่ต้องใช้วิธีแต่งกลิ่นให้ เสียรสชาติ โดยจะอบเป็นถาดใส่ในตู้อบด้วยเทียนควั่นคราวละหลาย ๆ แท่ง

ใน ส่วนของ “ไส้เผือก”นั้น วิธีการทำใช้เผือกนึ่งสุกนำไปกวนกับกะทิและน้ำตาลทรายซึ่งวิธีทำเหมือนถั่ว กวนทุกอย่าง ขณะที่ “ไส้น้ำพริกเผา” นั้น ใช้ไก่บด(แทนหมู เพราะมีลูกค้าที่เป็นมุสลิม) ผัดกับน้ำพริกเผา กระเทียมและกุ้งแห้ง เมื่อผัดเข้ากันแล้ว ใส่ถั่วกวนลงไปผัดให้เข้ากันด้วย

จากสูตรแป้ง ขนมเปี๊ยะข้างต้น เป็นสูตรคร่าว ๆ ของการผสมแป้งซึ่งในการทำขายนั้น เมื่อนวดแป้งออกมาแล้ว แบ่งสูตรแป้งออกเป็นสูตรละ 550กรัม ซึ่งจะปั้นออกมาได้ประมาณ 120 ชิ้น โดยที่ราคาขายคือชิ้นละ 5 บาท

ต้อง มีความซื่อสัตย์ และรักษามาตรฐานให้ได้เหมือนเดิม ไม่ว่าต้นทุนจะสูงขึ้นไปมากเท่าใดก็ตาม
ครูสมทรงบอกเคล็ดลับการค้าขายขนม เปี๊ยะที่ยังขายดิบขายดีท่ามกลางเศรษฐกิจชะลอตัว

สนใจ“ขนมเปี๊ยะอบ เทียน” ครูสมทรง ติดต่อได้ที่ร้านอยู่ตรงข้ามธนาคารไทยพาณิชย์สาขาบางเลน จ.นครปฐม หรือโทรศัพท์0-3439-1376, 0-3430-2534 และ 08-1206-0041


สุภา รัตน์ ยอดศิริวิชัยกุล :รายงาน / จเร รัตนราตรี :ภาพ

จาก เดลินิวส์

ขายน้ำผลไม้ ปั่น

อาชีพอิสระ ขายน้ำผลไม้ปั่น

เงินลงทุน ประมาณ 4,000 บาท
(เครื่องปั่นน้ำผลไม้ 1,500 บาทขึ้นไป กระติกน้ำแข็ง 200 กว่าบาท ที่คั้นน้ำส้มอลูมิเนียม 250 บาท)

รายได้ ประมาณ 10,000 บาท/เดือน

วัสดุ/อุปกรณ์ เครื่องปั่น ที่คั้นน้ำส้ม ภาชนะใส่ผลไม้ โหลใส่น้ำเชื่อม ช้อน มีด เขียง ทัพพีกลมขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 2.5 นิ้ว แก้ว ถุงพลาสติก หลอดดูด ยางรัดถุง กระติกน้ำแข็งและภาชนะตักน้ำแข็ง

แหล่งจำหน่ายอุปกรณ์ ร้านค้า ร้านจำหน่ายอุปกรณ์ไฟฟ้า ห้างสรรพสินค้าทั่วไป คลองถม เวิ้งนครเขษม
วัตถุ ดิบ น้ำตาลทราย น้ำ นมสด เกลือป่น น้ำแข็ง และผลไม้ เช่น ส้ม มะนาว สับปะรด มะพร้าวน้ำหอม กล้วยหอม แตงไทย ฝรั่ง แอปเปิ้ล แตงโม แครอท เป็นต้น

แหล่ง จำหน่ายผลไม้ ตลาดมหานาค ตลาดเทเวศร์ ตลาดไท ตลาดสี่มุมเมือง ตลาดคลองเตย

วิธีทำ

1. นำน้ำตาลทรายและน้ำในอัตราส่วน 2:1 ตั้งไฟ คนให้ละลายเข้ากันเป็นน้ำเชื่อม แล้วใส่โหลไว้
2. นำมะพร้าวน้ำหอมที่เตรียมไว้ เอาแต่น้ำมะพร้าวและตักเนื้อเป็นชิ้น ๆ เทใส่ภาชนะไว้
3. ผลไม้อื่น ๆ ใส่ภาชนะไว้ให้ดูสวยงาม

วิธีปั่นน้ำผลไม้ 1 แก้ว
1. น้ำส้ม - ส้ม 1-2 ผล (ขึ้นอยู่กับขนาดของผลส้ม) คั้นเอาน้ำ
น้ำมะนาว - มะนาว 1 ผล คั้นเอาน้ำ
สับปะรด - หั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ 1/3 ถ้วยตวง
มะพร้าวอ่อน - น้ำมะพร้าวพร้อมเนื้อเล็กน้อยประมาณ 1 ทัพพีกลม
2. นำน้ำหรือเนื้อผลไม้ตามที่ลูกค้าต้องการ ในอัตราส่วนข้อ 1 ใส่เครื่องปั่น
3. ตักน้ำเชื่อมใส่ประมาณ 1 ทัพพีกลม
4. ใส่เกลือประมาณ ? ช้อนชา (อาจมากหรือน้อยกว่านี้ขึ้นอยู่กับชนิดของน้ำผลไม้)
5. ตักน้ำแข็งใส่
6. ใส่นมสดเล็กน้อยตามชนิดของน้ำผลไม้ที่ลูกค้าต้องการ
7. กดปุ่มเครื่องปั่นปั่นน้ำแข็งให้ละเอียดตามความต้องการของลูกค้า
8. จากนั้นเทใส่ถุงหรือแก้วให้ลูกค้า

ตลาด/แหล่งจำหน่าย ย่านชุมชน ตลาดทั่วไป หน้าสถานศึกษา หรือเช่าสถานที่ในศูนย์การค้า

ข้อแนะนำ 1. อาจเพิ่มชา-กาแฟปั่น โอวัลตินหรือไมโลปั่น โดยใช้ชา-กาแฟสำเร็จรูป ไมโลหรือโอวัลตินชงใส่น้ำตาล และครีมเทียมหรือนมข้นหวาน นำไปปั่น หรือชง-กาแฟโบราณ ร้อน-เย็น ขายควบคู่กัน
2. การทำน้ำมะนาวปั่น ไม่ควรบีบเปลือกมากเกินไป เพราะจะทำให้มีรสขม
3. ควรสอบถามความต้องการของลูกค้าว่าต้องการรสชาติอย่างไร เช่น หวานน้อยหรือมาก และน้ำผลไม้บางชนิดต้องการใส่นมสดหรือไม่

ขอบคุณที่มา www.doe.go.th

การเพาะ เห็ดชนิดต่าง ๆ

อาชีพอิสระ เพาะเห็ดชนิดต่าง ๆ

เงินลงทุน ครั้งแรกประมาณ 8,000 บาท ขึ้นไป

(ก้อนเชื้อเห็ด ก้อนละ 3-10 บาท โรงเรือนประมาณ 4,000 บาท ขึ้นไป)

รายได้ 8,000 บาท ขึ้นไป/เดือน

(อาจมากหรือ น้อยกว่านี้ขึ้นอยู่กับปริมาณเห็ดที่เก็บได้ และราคาตลาดของเห็ดแต่ละชนิด)


อุปกรณ์ ก้อนเชื้อเห็ด โรงเรือนเพาะเห็ดคลุมด้วยตาข่าย หรือมุงจากชั้นแขวนก้อน เชื้อเห็ดบัวรดน้ำ เกย์วัดความชื้น


แหล่งจำหน่าย ร้านค้าหน้ามหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ศูนย์รวมสวนเห็ดบ้าน อรัญญิก ฟาร์มเพาะเห็ดทั่วไป

วิธีดำเนินการ ไปซื้อถุงเชื้อเห็ดจากแหล่งจำหน่าย ซึ่งถุงเชื้อเห็ดนั้น โดยทั่วไปเป็นถุงพลาสติกบรรจุเชื้อเห็ดมีรูปทรงคล้ายขวด โดยมีพลาสติกรูปทรงคอขวดใส่ปากถุงไว้เพื่อให้คล้ายคอขวด และมีจุกสำลีอุดปากถุง

เห็ด นางรม เห็ดนางฟ้า เห็ดขอนขาว เห็ดเป๋าฮื้อ เห็ดยานางิ

ปิดถุงเห็ด โดยดึงจุกสำลีและพลาสติกที่ทำเป็นคอขวดออก ปาดปากถุง ส่วนเห็ดเป๋าฮื้อและยานางิไม่ต้องปาดปากถุง นำไปวางซ้อนกันบนชั้นแขวนในโรงเรือน โดยให้ถุงอยู่ในลักษณะแนวนอน รดน้ำรักษาความชื้น 70-90% วันละ 2 - 6 ครั้ง โดยรดน้ำเป็นฝอยพ่นเหนือถุง

อย่า รดน้ำเข้าปากถุง หลังจากนั้นจะเริ่มมีดอกเห็ดโผล่ออกมาทางปากถุง ประมาณ 7-10 วัน ก็เก็บเห็ดรุ่นแรกได้ ระยะห่างของรุ่น10-15 วัน ส่วนเห็ดเป๋าฮื้อและยานางิ ประมาณ 10-15 วัน เก็บเห็ดได้ ระยะห่างของรุ่น 30-40 วัน

เห็ดหูหนู
เปิดถุงเห็ด โดยดึงสำลีและพลาสติกที่ทำเป็นคอขวดออก รัดปากถุงแล้วเอามีดกรีดข้างถุงเป็นแนวเฉียง 4 แนว ๆ ละ 3 บั้ง นำไปวางบนชั้นแขวน รดน้ำรักษาความชื้น 80-90% ประมาณ 10-15 วัน เก็บเห็ดได้ ระยะห่างของรุ่น 15-20 วัน

เห็ดหอม
กรีดถุง เห็ดให้เหลือเฉพาะส่วนก้นถุง 1-2 นิ้ว รดน้ำรักษาความชื้น 70-80% ประมาณ 7-10 วัน จะเก็บผลผลิตรุ่นแรกได้ ระยะห่างของรุ่น 15-20 วัน

ตลาด จำหน่าย ตลาดสด ขายส่งให้พ่อค้าแม่ค้า ซุปเปอร์มาเก็ต โรงงานแช่แข็ง โรงงานบรรจุกระป๋อง


ข้อแนะนำ
1. เงินลงทุนอาจมากหรือน้อยกว่านี้ ขึ้นอยู่กับขนาดของกิจการ ปริมาณก้อนเชื้อเห็ดและวัสดุอุปกรณ์ที่ใช้
2. การเลือกก้อนเชื้อเห็ด ควรเลือกที่มีเส้นใยเต็มถุง ไม่มีการปนเปื้อนของเชื้อรา และเป็นก้อนเชื้อที่ไม่อ่อนหรือแก่เกินไป
3. การรดน้ำเห็ดทุกชนิดที่อยู่ในถุงเชื้อเห็ด ควรรดน้ำเหนือถุง อย่ารดน้ำเข้าปากถุงเพราะน้ำจะขังอยู่ในถุง ทำให้เชื้อเสียเร็ว
4. โดยปกติ ก้อนเชื้อเห็ดจะหมดอายุการเก็บผลผลิตเมื่อครบ 3 เดือน


สถานที่ฝึกอบรม

1. ศูนย์รวมสวนเห็ดบ้านอรัญญิก (ที่ปรึกษาเรื่องเห็ด ในโครงการส่วนพระองค์ สวนจิตรลดา) โทร. 441-0369, 441-0467
2. สำนักส่งเสริมและฝึกอบรม มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โทร. 579-2294,942-8460 ต่อ 219 - 222

‘ข้าวซอย-น้ำ เงี้ยว’มีสูตรเด็ดขายที่ไหนก็รวย

“ช่วงนี้นักท่องเที่ยวจะนิยมขึ้นเหนือไปสัมผัสอากาศหนาว และหลายคนก็จะถือโอกาส รับประทานอาหารประจำถิ่นอย่าง “ข้าวซอย” ให้จุใจ อย่างไรก็ตาม ข้าวซอยนี่ไม่จำเป็นว่าจะต้องขายอยู่ทางเหนือเท่านั้น ขอเพียงมีสูตรเด็ดเคล็ดอร่อย ก็ทำขายในพื้นที่ภาคอื่น ๆ ได้ อย่างที่ทีม “ช่องทางทำกิน” จะนำเสนอในวันนี้...

ภัคพงศ์ พึ่งกัน ปัจจุบันเปิดร้านอาหารชื่อ “รสมือแม่” อยู่ในกรุงเทพฯ เจ้าตัวบอกว่า เดิมเคยเปิดร้านขายอาหารเหนืออยู่ที่เชียงใหม่ ภายหลังต้องหยุดเพราะเข้ามาทำงานเป็นสัตวแพทย์อยู่ในกรุงเทพฯ พอมาอยู่ที่กรุงเทพฯก็เห็นว่าอาหารเหนือนั้นหากินยาก จึงคิดจะเปิดร้านขายอาหารเหนือ และได้ขอให้คุณแม่ซึ่งมีประสบการณ์ในการทำอาหารเหนือมานานลงมาอยู่ที่ กรุงเทพฯ เพื่อช่วยในเรื่องนี้

ร้านอาหารเหนือที่เปิดใหม่นี้ก็ใช้ชื่อร้านว่า “รสมือแม่” ซึ่งเป็นชื่อเดิมที่เคยเปิดอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่ จะเน้นให้คนกรุงเทพฯได้รู้ถึงรสชาติของอาหารเหนือที่แท้จริง และให้คนที่ชอบได้กินกันบ่อยขึ้น ที่สำคัญอาหารที่ร้านนี้ทุกเมนูจะไม่ใส่ผงชูรส โดยที่ร้านจะมีสโลแกนว่า “พ่อแม่ใส่ใจแทนการใส่ผงชูรส”

สำหรับอาหารเหนือที่ขึ้นชื่ออย่าง “ข้าวซอย” และ “น้ำเงี้ยว” เป็นเมนูที่ทำไม่ยาก แต่อาจจะมีขั้นตอนการทำที่เยอะหน่อย ซึ่งความอร่อยนั้นอยู่ที่ “พริกแกง” เพราะฉะนั้นพริกแกงที่ร้านนี้ใช้ทำทั้งสองเมนู จะทำขึ้นเอง ไม่ซื้อสำเร็จรูป และที่สำคัญข้าวซอยและน้ำเงี้ยวจะต้องทำใหม่ ๆ ทุกวัน จะทำพอดีขายวันต่อวัน

วัตถุดิบที่ใช้ในการทำพริกแกงข้าวซอย ตามสูตรของร้านนี้มีดังนี้... พริกแห้ง 2 ขีด, กระเทียม 3 ขีด, หอมแดง 3 ขีด, ข่า 2 ขีด, ตะไคร้ 2 ขีด, ขิง 1 ขีด, กะปิ 1.5 ขีด, เม็ดผักชียี่หร่า 1/2 ขีด, ผง กะหรี่ 2 ช้อนโต๊ะ, ผงขมิ้น 2 ช้อนโต๊ะ, เกลือ 2 ช้อนโต๊ะ

จาก สูตรนี้สามารถทำพริกแกงได้ประมาณ 1 กิโลกรัม

วิธีการทำพริกแกง เริ่มจากนำวัตถุดิบทุกอย่างมาทำการปั่นให้ละเอียด โดยแยกปั่นแต่ละอย่าง จากนั้นก็นำวัตถุดิบทุกอย่างที่ปั่นละเอียดแล้วมาเทใส่รวมกันในครก ทำการโขลกให้เข้าเป็นเนื้อเดียวกัน เท่านี้ก็จะได้พริกแกงพร้อมสำหรับทำข้าวซอย โดยพริกแกงข้าวซอยจะออกทางหอมกลิ่นผงกะหรี่

เมื่อได้พริกแกงก็มาถึง วิธีทำ “น้ำแกงข้าวซอย” เริ่มจากนำหัวกะทิใส่กระทะตั้งไฟปานกลาง ทำการเคี่ยวให้หัวกะทิแตกมัน จากนั้นก็นำพริกแกงที่ทำเตรียมไว้ใส่ลงไปผัดรวมกับหัวกะทิ พอเริ่มหอมก็ให้นำเนื้อวัวหรือเนื้อไก่ใส่ลงไปผัดด้วยประมาณ 15 นาที

เนื้อ วัวที่ใช้ทำควรจะใช้เนื้อส่วนน่องลาย เพราะเป็นเนื้อส่วนที่มีเอ็นติดแทรกอยู่ในเนื้อ เวลาทำออกมาจะอร่อยมาก ส่วนถ้าเป็นเนื้อไก่นั้นจะใช้เนื้อส่วนน่องมาทำ โดยเลือกใช้น่องที่มีขนาด 8-9 น่องต่อกิโลกรัม

ขั้นตอนต่อไป นำหางกะทิใส่หม้อตั้งไฟอ่อน ๆ ใส่เกลือและน้ำตาลทรายลงไปเล็กน้อย พอกะทิเดือดก็นำเนื้อหรือไก่ที่ผัดกับพริกแกงใส่ลงไปในหม้อ จากนั้นก็ตั้งไฟเคี่ยวไปเรื่อย ๆ

ถ้าเป็นเนื้อจะใช้เวลาในการเคี่ยว เป็นชั่วโมงเพื่อให้เนื้อเปื่อยนุ่ม แต่ถ้าเป็นน่องไก่จะใช้เวลาในการเคี่ยวประมาณ 1/2 ชั่วโมงเท่านั้น เท่านี้ก็จะได้น้ำแกงสำหรับใส่เส้นข้าวซอย

สำหรับการเตรียม “เส้นข้าวซอย” นั้น ก็แค่ตั้งน้ำให้เดือดแล้วนำเส้นลงลวกให้เส้นนิ่ม ใส่ชาม ใส่น้ำแกงที่เตรียมไว้ลงไป แล้วก็จะใส่เส้นบะหมี่ที่ทอดกรอบอีกส่วนหนึ่งด้วย แต่เส้นข้าวซอยนั้นถ้าจะให้ได้รสชาติข้าวซอยเมืองเหนือแท้ ๆ จะต้องใช้เส้นข้าวซอยโดยเฉพาะ ซึ่งทางร้านนี้จะมีแหล่งสั่งซื้อจากจังหวัดเชียงใหม่

“ข้าวซอย” นั้นต้องเสิร์ฟคู่กับเครื่องเคียง อย่างผักกาดดองหั่นเป็นชิ้น, หอมแดงหั่นเป็นชิ้น และมะนาวหั่นซีก

หากใช้พริกแกงประมาณ 1 กิโลกรัม ต่อเนื้อวัวหรือน่องไก่ 5 กิโลกรัม และกะทิ 4 กิโลกรัม จะสามารถทำข้าวซอยได้ประมาณ 45 ชาม ราคาขายของร้าน “รสมือแม่” อยู่ที่ชามละ 40 บาท

ภัคพงศ์ยังให้ข้อมูลเกี่ยวกับ “น้ำเงี้ยว” ด้วยว่า สำหรับพริกแกงที่ใช้ทำน้ำเงี้ยวก็จะใช้วัตถุดิบเหมือนพริกแกงข้าวซอย เพียงแต่พริกแกงของน้ำเงี้ยวนั้นไม่ต้องใส่ขิงและผงกะหรี่ ส่วนวิธีการทำก็เหมือนกัน

การทำน้ำเงี้ยว เริ่มจากนำพริกแกงมาผัดกับน้ำมันให้พอหอม จากนั้นก็ใส่หมูลงไปผัดให้พอมีกลิ่นหอม ทำการตั้งน้ำต้มกระดูกหมู พอเดือดก็ใส่หมูที่ผัดกับพริกแกงลงไปในหม้อ ต้มไปเรื่อย ๆ ใส่เลือดไก่และมะเขือเทศลงไป ปรุงรสตามต้องการ ก็จะได้น้ำเงี้ยวสำหรับราดเป็น “ขนมจีนน้ำเงี้ยว” เสิร์ฟพร้อมเครื่องเคียงอย่าง ผักกาดดองหั่นฝอย, กะหล่ำปลีหั่นฝอย และพริกแห้งทอด

นอกจากข้าวซอยและน้ำเงี้ยวแล้ว ร้านรสมือแม่ยังมีอาหารเหนืออีกหลายเมนู อาทิ น้ำพริกอ่อง, ไส้อั่ว, แกงฮังเล, แกงอ่อม, แกงแค ฯลฯ และยังมีเมนู “สเต๊ก” ที่ลูกค้าส่วนใหญ่ที่ไปที่ร้านนี้มักจะสั่งทานกัน

ใครสนใจอาหารเหนือ “ร้านรสมือแม่” ร้านนี้อยู่ในซอยชินเขต 2/40 หลังมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ เข้าทางถนนวิภาวดีรังสิตตรงนอร์ท ปาร์คก็ได้ เปิดทุกวัน 10.00-22.00 น. สอบถามเส้นทาง โทร. 08-6378-9454 08-6378-9454 ซึ่งร้านนี้ก็พิสูจน์กับ “ช่องทางทำกิน” ว่าอาหารเหนือ ไม่ต้องขายที่เมืองเหนือก็ได้ !!.


บดินทร์ ศักดาเยี่ยงยงค์ : รายงาน

ขอบ คุณที่มา เดลินิวส์

‘ที่ติดตู้ เย็น น่ารักๆ’ พลิกแพลงได้ขายคล่อง

ศิลปะตัดแปะสร้างลวดลายต่าง ๆ แบบญี่ปุ่นที่เรียกว่างาน “โอชิเอะ” เป็นหนึ่งในงานฝีมือที่คนไทยก็นิยมทำ โดยพัฒนาดัดแปลงจนเป็นศิลปะผ้าไทยประดิษฐ์ที่มีเอกลักษณ์ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นงานชิ้นใหญ่ที่ขายในราคาสูง แต่ก็มีคนคิดย่อขนาดทำเป็น “ที่ติดตู้เย็น” จนเป็น “ช่องทางทำกิน” ได้อย่างน่าสนใจ...

ยุพิน ผูกพานิช เจ้าของงานฝีมือดังกล่าวนี้เล่าว่า เดิมทีทำงานเป็นพนักงานบริษัท ต่อมาคิดได้ว่าอาชีพพนักงานประจำเริ่มมีความเสี่ยงเพราะเศรษฐกิจไม่ดี น่าจะวางแผนล่วงหน้าให้กับชีวิต จึงตัดสินใจศึกษางานประดิษฐ์ต่าง ๆ ซึ่งก็สนใจงานศิลปะโอชิเอะที่คนไทยนำมาเรียกใหม่ว่าเป็นงานศิลปะผ้าไทย ประดิษฐ์ และเริ่มทำเป็นอาชีพมาตั้งแต่ปี 2543 รายได้ก็เรียกว่าพออยู่ได้ โดยทำเป็นชิ้นงานขนาดใหญ่ ในลักษณะของภาพสำหรับใส่กรอบรูปหรือแขวนติดผนัง ซึ่งงานส่วนใหญ่ที่ทำเป็นภาพติดผนัง หรือใส่กรอบรูป จะเน้นไปที่งานศิลปะไทย เช่น ภาพสัตว์หิมพานต์, ลวดลายไทย กับภาพวิวทิวทัศน์เป็นหลัก แต่ต่อมาคิดได้ว่าหากนำรูปแบบของงานดังกล่าวมาปรับขนาดย่อส่วนให้เล็กลง ก็สามารถขายในราคาที่ต่ำกว่า อาจจะทำให้ขายงานได้ง่ายยิ่งขึ้น

สุด ท้ายก็เริ่มทำ “ที่ติดตู้เย็น” หรือที่เรียกว่า “แมกเนต”

ยุพินเล่า ว่า ในระยะแรกที่ทำ รูปแบบส่วนใหญ่จะเน้นที่ “ตุ๊กตาสัตว์” อาทิ ช้าง, ยีราฟ, แพนด้า เป็นหลัก ต่อมาก็พัฒนาเป็นรูปแบบ “ตัวการ์ตูน” ที่ดูน่ารัก เช่น ตุ๊กตากิโมโน, ตุ๊กตาเด็กผู้หญิงจีน (อาหมวย), เด็กหัวเห็ด เป็นต้น ซึ่งตอนนี้มีสินค้าอยู่ราว 20 แบบ และจากรูปแบบที่ผลิตเป็นที่ติดตู้เย็น ต่อมาก็พัฒนาเป็นพวงกุญแจ, ที่ห้อยโทรศัพท์มือถือ เพิ่มขึ้นมา โดยราคาขายปัจจุบันอยู่ที่ชิ้นละ 39 บาท

“เรามองว่าถ้าจะนั่งรอขาย แต่ชิ้นใหญ่ ๆ คงไม่ได้ เศรษฐกิจไม่ดี น่าจะขายได้ยากขึ้น เนื่องจากสินค้าค่อนข้างมีราคาสูง ก็เลยคิดย่อส่วนชิ้นงานลง มา แต่ก็ต้องหารูปแบบใหม่ด้วย ก็มาลงเอยที่ที่ติดตู้เย็น”

ทุนเบื้องต้น อาชีพนี้ ทำเล็ก ๆ ใช้ประมาณ 1,000 บาทก็พอ ส่วนใหญ่เป็นค่าอุปกรณ์ ขณะที่ทุนวัตถุดิบอยู่ที่ประมาณ 30% ของราคาขายเท่านั้น ซึ่งถือว่าเป็นงานที่ใช้เงินลงทุนต่ำ และใช้ทุนวัตถุดิบน้อย เมื่อเทียบกับงานประดิษฐ์ชิ้นอื่น ๆ โดยงานนี้เป็นงานที่เน้นฝีมือและจินตนาการในการทำเป็นสำคัญ

สำหรับ วัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ก็มี ปากกาหัวแร้ง, ปืนยิงกาว-กาวร้อน, กรรไกรตัดกระดาษ, คัตเตอร์, คีมปากคีบ, แม่เหล็ก, วัสดุตกแต่ง, กระดาษสา, เศษผ้าไหม, กระดาษแข็ง, สีอะคริลิกหรือสีโปสเตอร์, ฟองน้ำ

ขั้นตอนการทำ เริ่มจากการขึ้นแบบ (แพทเทิร์น) ของตุ๊กตาที่จะทำ โดยใช้การร่างแบบส่วนประกอบต่าง ๆ ของตัวตุ๊กตา เช่น หัว, แขน, ขา ลงบนกระดาษแข็ง ใช้กรรไกรหรือคัตเตอร์ตัดกระดาษที่ร่างแบบส่วนต่าง ๆ ออกจากกัน เสร็จแล้วนำแบบที่ได้มาทาบลงบนเศษผ้าไหมและฟองน้ำ จากนั้นตัดตามรอย

เมื่อได้ส่วนประกอบต่าง ๆ แล้ว ให้นำฟองน้ำมาวางบนชิ้นส่วนของตุ๊กตา (กระดาษแข็ง) นำเศษผ้าไหมที่ตัดไว้มาหุ้มทับฟองน้ำและกระดาษ เชื่อมติดกันด้วยกาวร้อน จากนั้นนำกระดาษสามาหุ้มปิดบริเวณด้านหลังของตุ๊กตา แล้วทำการเชื่อมติดแม่เหล็กเข้าที่ด้านหลังของตุ๊กตาด้วยกาวร้อน เมื่อติดส่วนประกอบต่าง ๆ เสร็จแล้วก็ถึงขั้นตอนการตกแต่งตัวตุ๊กตา ซึ่งการตกแต่งหน้าตาของตุ๊กตานั้นเจ้าของผลงานแนะนำเคล็ดลับว่า ควรเลือกสีที่ใช้ให้กลมกลืนกับลวดลายของผ้าที่อยู่บนตุ๊กตา เมื่อตกแต่งด้วยสีแล้วก็ทิ้งไว้ให้สีแห้ง เป็นอันเสร็จ

“งานนี้ สามารถทำขายไปได้เรื่อย ๆ ไม่มีตันแน่นอน เพราะเปลี่ยนรูปแบบได้เรื่อย ๆ แต่จุดสำคัญต้องเข้าใจกลุ่มลูกค้า ต้องรู้ว่าจะขายสินค้าให้ลูกค้ากลุ่มไหน เพราะสินค้าแต่ละแบบก็มีกลุ่มที่นิยมไม่เหมือนกัน เช่น ตุ๊กตาช้าง จะขายดีกับลูกค้าต่างชาติ ขณะที่แบบที่เป็นตุ๊กตาจะขายดีกับกลุ่มวัยรุ่นและพนักงานออฟฟิศ ดังนั้นจะต้องเข้าใจว่าลูกค้าในตลาดของเราเป็นกลุ่มใดบ้าง” ยุพิน ผูกพานิช เจ้าของผลงานแนะนำเรื่องตลาด

สนใจงานของยุพิน ติดต่อได้ที่ 26/22 หมู่ 10 ต.ลาดสวาย อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี หรือที่ตลาดนัดสวนจตุจักร โครงการ 7 ซอย 3 โทร. 0-2152-3852 อีเมล yupin.fabricart@hotmail.com ซึ่งถ้าใครสนใจอยากจะทราบข้อมูลการทำที่ลึกกว่าที่ว่ามา ก็ลองสอบถามโดยตรงจากเจ้าของผลงานนี้ได้เลย.

ศิริโรจน์ ศิริแพทย์ : รายงาน

ที่มา เด ลินิวส์

‘ทับทิม กรอบรวมมิตร’ ขายคล่อง-ทุนต่ำ-ทำไม่ยาก

“ทับทิมกรอบ” ขนมหวานไทย ๆ ที่มีรสชาติหอมหวานเป็นที่ถูกใจใคร ๆ หลายคน เป็นขนมที่ทำไม่ยาก ทำขายหารายได้เข้ากระเป๋าได้ดีไม่แพ้อาชีพอื่น อย่างรายที่ทีม “ช่องทางทำกิน” มีข้อมูลมาบอกต่อ...

ยุก-เกศิณี ทรัพย์สุรกุล เจ้าของสูตร “ทับทิมกรอบรวมมิตร” เล่าว่า จริง ๆ แล้วก็ไม่ได้เริ่มจากการเป็นแม่ค้าขายขนมหวานมาตั้งแต่ต้น หลังจากสำเร็จการศึกษาด้านบริหารจัดการก็เข้าทำงานเป็นพนักงานออฟฟิศอยู่ ประมาณ 4-5 ปี ตอนหลังเริ่มเกิดความรู้สึกเบื่อในระบบงาน มีความคิดอยากจะทำธุรกิจส่วนตัวมากกว่า จึงออกจากงานและเริ่มมองหาหนทางทำธุรกิจ ซึ่งด้วยความที่เป็นคนชอบทานขนมทับทิมกรอบ และพอจะมีความรู้พื้นฐานในการทำอยู่บ้าง จึงมีความคิดที่จะลองทำทับทิมกรอบขาย

เริ่มจากทดลองทำเพื่อหาสูตรที่ เป็นแบบฉบับของตัวเอง และเพื่อให้ได้รสชาติที่ถูกใจ ทดลองทำแล้วก็ให้คนในครอบครัวและเพื่อนบ้านใกล้เคียงทดลองชิม หลายคนให้การตอบรับ จึงได้ตัดสินใจเปิดกิจการขึ้น โดยใช้ชื่อในการดำเนินกิจการว่า “WARASINEE” ทับทิมกรอบรวมมิตร และสาคูนมสดแคนตาลูป

“ทับทิมกรอบรวมมิตรจะต้องมีรสชาติที่หอมหวาน ชื่นใจของน้ำกะทิ และต้องใส่ใจคุณภาพของวัตถุดิบอย่างมาก วัตถุดิบที่ใช้ทำจะต้องเน้นความสดใหม่ ที่สำคัญขนมที่ทำจะต้องไม่ใส่สารกันเสีย” เจ้าของสูตรกล่าว

สำหรับ วัตถุดิบที่ใช้ในการทำทับทิมกรอบรวมมิตร หลัก ๆ ประกอบด้วย เนื้อแห้วหั่นสี่เหลี่ยมลูกเต๋า, แป้งมัน, น้ำหวานสีแดง, กะทิสด, น้ำตาล, เกลือ, ดอกมะลิ และน้ำเชื่อม เป็นต้น

การเลือกสรรวัตถุดิบนั้น เกศิณีบอกว่า “แห้วที่ใช้ทำทับทิมกรอมนั้นจะต้องสั่งที่เป็นผลใหญ่ ๆ เพราะเวลาทำจะทำให้ตัวขนมนั้นกรอบอร่อย”

ในส่วนของอุปกรณ์การทำนั้น ส่วนใหญ่ก็เป็นอุปกรณ์ที่มีอยู่ในครัวเรือนทั่วไปอยู่แล้ว

ขั้นตอน การทำ เริ่มจากนำแห้วมาปลอกเปลือกแล้วทำการหั่นให้เป็นสี่เหลี่ยมลูกเต๋า จากนั้นนำไปแช่ในน้ำหวานสีแดง โดยใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง เพื่อให้สีแดงของน้ำหวานติดเข้าไปในเนื้อแห้ว เมื่อได้แห้วเป็นสีแล้วก็นำไปคลุกเคล้ากับแป้งมัน กะดูว่าแป้งเกาะติดเนื้อแห้วจนทั่ว ก็ทำการร่อนแป้งออก แล้วทำซ้ำอีก 1 ครั้ง

ขั้นตอนต่อไปก็นำน้ำใส่หม้อยกขึ้นตั้งไฟให้น้ำเดือด จากนั้นก็นำแห้วที่คลุกแป้งเตรียมไว้ใส่ลงไปต้มในน้ำเดือด ใช้เวลาต้มประมาณ 3 นาที ดูจนแป้งที่เคลือบแห้วนั้นใสและแห้วลอยขึ้นมา ก็ใช้ได้

ไม่ ควรต้มแห้วนานเกินไป เพราะจะทำให้แป้งที่เคลือบแห้วไว้หลุดออกมา ทำให้ไม่สวยงาม

เมื่อต้มจนตัวทับทิมกรอบสุกได้ที่ลอยขึ้นมา ก็ใช้กระชอนตักขึ้นมาใส่ลงไปในน้ำเย็นสักพักเพื่อให้แป้งอยู่ตัว จากนั้นให้ตักขึ้นมาแช่ลงในน้ำเชื่อมที่เตรียมไว้อีกที เป็นอันเสร็จการทำ “ตัวทับทิมกรอบ”

ส่วนการทำ “น้ำกะทิ” เริ่มจากนำเอาหัวกะทิสดไปตั้งไฟ จากนั้นใส่น้ำตาลและเกลือ ถ้าใช้หัวกะทิ 1 กิโลกรัม ก็ใช้น้ำตาล 1 กิโลกรัม เกลือ 1 ช้อนชา ทำการเคี่ยวให้เดือด ส่วนผสมเข้ากันเป็นเนื้อเดียว ใช้เวลาประมาณ 10 นาที ยกลง แล้วนำดอกมะลิสดใส่ในชามที่มีหู นำลงเกี่ยวกับขอบหม้อน้ำกะทิ จากนั้นปิดฝาหม้ออบน้ำกะทิกับดอกมะลิทิ้งไว้ 1 คืน ก็จะได้น้ำกะทิที่มีกลิ่นหอมชื่นใจ และเข้ากับทับทิมกรอบอย่างลงตัว

เครื่อง ต่าง ๆ ที่ต้องเตรียมไว้ใส่กับทับทิมกรอบ ทำเป็น “ทับทิมกรอบรวมมิตร” นั้น ก็มีอาทิ สลิ่ม แห้วเชื่อม เนื้อมะพร้าวกะทิสด
เกศิณีบอกว่า อาชีพนี้ถ้าทำเล็ก ๆ ลงทุนครั้งแรกใช้ทุนประมาณ 5,000 บาทก็น่าจะพอ ส่วนทุนวัตถุดิบและรายได้นั้น ถ้าใช้ทุนค่าของประมาณ 1,000 บาท จะทำได้ประมาณ 120 ถ้วย ขายหมดจะได้ประมาณ 2,400 บาท โดยขายราคาถ้วยละ 20 บาท ถ้าเป็นแบบพิเศษเพิ่มเครื่องก็ 30 บาท


ร้าน “ทับทิมกรอบรวมมิตร” และสาคูนมสดแคนตาลูปของเกศิณี อยู่ที่ตลาดลุงเพิ่ม หลังการบินไทยสำนักงานใหญ่ แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กรุงเทพฯ ขายตั้งแต่เวลา 08.30-15.30 น. ทุกวันจันทร์-วันเสาร์ ใครต้องการรับไปจำหน่ายต่อก็ได้ ติดต่อสอบถาม โทร.08-1869-9541


บดินทร์ ศักดาเยี่ยงยงค์ :รายงาน


คู่ มือลงทุน...ทับทิมกรอบรวมมิตร
ทุนเบื้องต้น ประมาณ 5,000 บาทขึ้นไป
ทุน วัตถุดิบ ประมาณ 1,000 บาท / 120 ถ้วย
รายได้ ประมาณ 2,400 บาท / 120 ถ้วย
แรงงาน 1 คนขึ้นไป
ตลาด ย่านอาหาร, ตลาดนัด, ชุมชน
จุดน่า สนใจ ลงทุนต่ำ ทำไม่ยาก รายได้ดี


ที่มา เดลินิวส์

'ตุ๊กตา ถุงเท้า' ไอเดียเก๋ไก๋-รายได้สวย

"ถุงเท้า” สามารถนำมาประดิษฐ์เป็น “ตุ๊กตา” ได้ เป็นอีกงานไอเดียสร้างมูลค่าเพิ่ม และเป็นสินค้าที่สามารถสร้างรายได้ ซึ่งวันนี้ทีม “อาชีพเสริม สร้างรายได้” ก็มีข้อมูลการทำ “ตุ๊กตาถุงเท้า” มานำเสนอ...

อาภรณ์ศิลป์ กันณิกา หรือ น้อง อายุ 27 ปี เรียนจบด้านวิศวกรรมโยธาจากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีมหานคร แล้วก็เข้าทำงานเป็นวิศวกรโยธาอยู่ที่บริษัทแห่งหนึ่ง ส่วนเจ้า “ตุ๊กตาถุงเท้า” หรือซอค ดอลล์ (Sock doll) นี้ ทำจำหน่ายเป็นอาชีพเสริม ซึ่งก็สามารถทำรายได้ที่น่าสนใจ จึงทำเป็นงานเสริมมาเรื่อย ๆ

ความ เป็นมาของการที่มาทำงานประเภทนี้ เจ้าของผลงานเล่าว่า เริ่มมาจากการที่ต้องการจะทำตุ๊กตาให้กับคนพิเศษในวันวาเลนไทน์ และเห็นพี่สาวทำตุ๊กตาถักไหมพรมอยู่ก่อนแล้ว จึงเกิดความคิดที่จะลองหาวัสดุอื่นมาลองทำ ก็ทดลองนำเอา “ถุงเท้า” มาทำ พอทำตุ๊กตาถุงเท้าเสร็จเป็นตัวแรกก็ได้นำรูปไปลงใน ไฮไฟว์ แล้วบังเอิญเพื่อนเข้ามาเห็นเลยอยากได้ จึงสั่งให้ผลิตตุ๊กตาให้ 2 คู่ แล้วจากนั้นก็มีออร์เดอร์สั่งเข้ามาอีกเรื่อย ๆ

“ตอนนั้นจำได้ว่า รู้สึกดีใจมาก จากที่ตอนแรกคิดว่าจะทำให้กับคน พิเศษในวันวาเลนไทน์เท่านั้น พอมีคนเริ่มสนใจมากขึ้นเรื่อย ๆ เลยคิดที่จะลงทุนทำอย่างจริงจัง โดยใช้เวลาหลังเลิกงานและวันหยุดในการผลิตตุ๊กตาถุงเท้า ส่วนช่องทางการจำหน่ายก็นำไปลงประกาศขายตามเว็บไซต์ ซึ่งก็ได้รับการตอบรับจากลูกค้าทั้งกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดเป็นอย่างดี มีผู้สนใจสั่งสินค้าเข้ามาเรื่อย ๆ”

เจ้าของผลงานบอกต่อไปว่า วัตถุดิบต่าง ๆ ที่ใช้ในการผลิตนั้น ส่วนใหญ่จะไปหาซื้อที่ย่านสำเพ็ง เพราะมีให้เลือกหลากหลาย ที่สำคัญคือมีราคาถูก ทำให้สามารถผลิตตุ๊กตาถุงเท้าได้ในต้นทุนที่ไม่สูงมาก ซึ่งการลงทุนทำตุ๊กตาถุงเท้านั้น ใช้เงินลงทุนเบื้องต้นประมาณ 3,000 บาท

“งาน ตุ๊กตาถุงเท้านั้นเป็นงานแฮนด์เมด งานทุกชิ้นที่ทำจึงไม่ ซ้ำใคร แต่ที่สำคัญการทำตุ๊กตาถุงเท้าจำหน่ายต้องพยายามออกแบบใหม่ ๆ ออกมาเรื่อย ๆ และบางครั้งลูกค้าต้องการแบบพิเศษเราก็ต้องพยายามออกแบบให้กับลูกค้าให้ได้ ต้องตอบสนองความต้องการให้กับลูกค้าให้ได้”

สำหรับวัสดุอุปกรณ์ใน การทำ “ตุ๊กตาถุงเท้า” หลัก ๆ มีดังนี้คือ... ถุงเท้าสี เกรด A (เน้นสีสันสวยงาม), ถุงเท้าสีขาว, ใยสังเคราะห์เกรด A, เข็มเย็บผ้า, ด้ายวีนัส, ไหมพรม, ปืนกาว, ดินสอ, กรรไกร

ขั้นตอน-วิธีการทำตุ๊กตา ถุงเท้า เริ่มจากการทำลำตัวของตุ๊กตาเป็นอันดับแรก โดยนำถุงเท้าสีมากลับเอาด้านในออกมาด้านนอก จากนั้นใช้ดินสอร่างแบบตัวตุ๊กตา แล้วใช้ด้ายสี (ซึ่งต้องใช้ด้ายสีเดียวกับตุ๊กตาเพื่อความสวยงาม) ทำการเย็บตามแบบที่ร่างไว้ การเย็บจะใช้การเย็บแบบด้นถอยหลัง เพื่อความสวยงามทนทาน

เมื่อทำการเย็บเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ใช้กรรไกรตัดตามรอยเย็บ จากนั้น ทำการกลับด้านถุงเท้า แล้วใส่ใยสังเคราะห์ให้แน่น เท่านี้ก็จะได้เป็นส่วนตัวตุ๊กตา เตรียมรอไว้
ลำดับ ต่อมาก็เป็นขั้นตอนการทำส่วนหัวของตุ๊กตา ซึ่งการทำส่วนหัวจะใช้ถุงเท้าสีขาว ทำการใส่ใยสังเคราะห์เข้าไปในถุงเท้าให้มีลักษณะกลม แล้วใช้ด้ายมัดให้แน่น

เมื่อ ได้ส่วนหัวของตุ๊กตาแล้วก็นำไปประกอบเข้ากับส่วนตัวตุ๊กตา ยึดติดกันให้แน่นโดยใช้ด้ายเย็บ จากนั้นก็ใช้ด้ายสีด้นตามแนวเส้นที่ร่างไว้บนส่วนตัวของตุ๊กตา เพื่อให้เป็นแขนของตุ๊กตา แล้วนำไหมพรมมาถักเป็นผม ผูกด้วยโบ นำไปติดกับส่วนหัวตุ๊กตา ยึดให้แน่นด้วยกาวจากปืนยิงกาว

ขั้นตอนต่อ ไปคือการตกแต่งตา โดยใช้ด้ายสีน้ำตาลปักทำเป็นตา และใช้ไหมพรมสีแดงปักทำเป็นปาก ทำการปัดแก้มตุ๊กตาด้วยสีสันต่าง ๆ ตามไอเดีย นำถุงเท้าสีส่วนที่เหลือมาทำเป็นหมวกให้กับตุ๊กตา โดยใช้ปืนกาวยึดให้แน่น เท่านี้ก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย

“ตุ๊กตาถุง เท้า” ที่เจ้าของงานรายนี้ทำอยู่ มีหลายแบบ เช่น ตุ๊กตาคู่ชาย-หญิง, ตุ๊กตาแมว, ตุ๊กตากระต่าย โดยมีราคาขายอยู่ที่คู่ละ 100-110 บาท ต้นทุนประมาณ 60% นอกจากนี้ยังสามารถพลิกแพลงทำเป็นชิ้นงานอื่น ๆ เช่น พวงกุญแจตุ๊กตาดุ๊กดิ๊ก, พวงกุญแจตุ๊กตาถักไหมพรม ที่ขายได้ในราคาตัวละ 50 บาท

คุณน้อง-อาภรณ์ศิลป์ใช้เว็บไซต์ www.Welove shopping.com/shop/sock-doll โชว์ “ตุ๊กตาถุงเท้า” สินค้าตัวอย่าง ใครสนใจก็ลองคลิกเข้าไปดู หรือต้องการสั่งก็ติดต่อได้ที่ โทร. 08-6074-7399, 08-1354-5251 ซึ่งนี่ก็เป็นอีกกรณีตัวอย่าง “ไอเดียสร้างงาน-สร้างรายได้”.

บดินทร์ ศักดาเยี่ยงยงค์ : ........รายงาน ..........ที่มา เดลินิวส์

‘ตู้(เรือ)ปลา ’ งานขายไอเดียราคาดี

สินค้าที่มี กลุ่มลูกค้าเป็นคนชอบเลี้ยงสัตว์ยังทำเงินได้ทุกสภาวะเศรษฐกิจ ซึ่งก็รวมถึง “ตู้ปลา” ยิ่งหากดัดแปลงให้แตกต่างแปลกใหม่ได้ก็จะยิ่งดี อย่างเช่นรายที่ทีม “ช่องทางทำกิน” จะนำเสนอวันนี้....

“ธนากร วิโนทพรรษ์” จากคนที่เรียนด้านกฎหมาย แล้วใช้เวลาว่างไปทำงานเกี่ยวกับเซรามิกกับเพื่อนพี่สาว ต่อมาผันตัวทำธุรกิจเกี่ยวกับศิลปะกระจก สลักลาย พ่นทราย ออกแบบทำบานประตู หน้าต่าง ฯลฯ และเป็นเจ้าของร้าน “รอยทราย” ภายหลังมีความคิดใหม่โดยเปลี่ยนแปลงนำกระจกมาทำเป็นผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นกรอบรูป โคมเทียน โคมไฟ ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี และต่อมายังคิดทำสินค้าใหม่อีกชนิด

คิดทำ “ตู้ปลาเรือปลา” อีกสินค้าที่น่าสนใจ

ธนากรเล่าว่า งาน กระจกที่ทำนั้นจะเป็นงานศิลปะเฉพาะ งานทุกชิ้นจะเน้นการออกแบบและทำขึ้นมาใหม่ แต่พอทำอยู่ระยะหนึ่งเริ่มมีคู่แข่งทางการตลาดมากขึ้น ในปี 2540 จึงย้ายไปเปิดร้านอยู่ที่พนัสนิคมซึ่งเป็นบ้านเกิด พอในปี 2543 ก็เริ่มคิดนำกระจกมาทำเป็นผลิตภัณฑ์อื่น ๆ และต่อมาก็ปิ๊งไอเดียทำ “ตู้ปลา” ที่เป็น “เรือ” ที่แตกต่างจากตู้ปลาที่มีขายกันอยู่ทั่วไป เป็นทางเลือกให้กับผู้ที่ชอบเลี้ยงปลาและต้องการตกแต่งบ้าน

สำหรับ วัสดุอุปกรณ์ในการทำตู้ปลาเรือปลานั้น หลัก ๆ ก็มี กระจกสี, กระจกใสความหนา 6 มม., กระจกเงา, เส้นทองเหลือง, ฟอยส์ทองแดง, มีดตัดกระจก, ตะกั่ว, หัวแร้ง เป็นต้น

กระจกสีนั้นสามารถใช้เศษกระจกที่เหลือใช้มาทำก็ได้ เพื่อเป็นการลด ต้นทุน

ขั้นตอนการทำตู้ปลาเรือปลา เริ่มจากการออกแบบรูปทรงเรือลงบนกระดาษก่อน จากนั้นเมื่อได้แบบตามที่ต้องการแล้วก็เริ่มทำการตัดกระจกใสมาทำเป็นตัวตู้ ปลา โดยตัดให้เป็นรูปตัวแอลหงาย ส่วนด้านหลังให้ใช้กระจกเงา เพื่อให้เกิดการสะท้อนเงาในตู้เพื่อเพิ่มความสวยงาม

เมื่อได้ชิ้น ส่วนกระจกที่จะใช้ทำเป็นตู้ปลาครบแล้ว ก็นำทั้งหมดประกอบติดกัน โดยใช้ซิลิโคนยิงเชื่อมให้แน่น หลังจากที่ประกอบตู้เรียบร้อยแล้วก็ทำการเทสต์ตู้โดยใส่น้ำลงไปในตู้ ทิ้งไว้เพื่อให้แน่ใจว่าตู้ไม่มีรอยรั่ว

จากนั้นก็มาทำโครงเรือ สำหรับครอบตู้ปลา เริ่มจากการใช้เส้นทองเหลืองวางเป็นโครงหลัก ทำการดัดให้เป็นรูปเรือที่ต้องการ แล้วทำการเชื่อมยึดให้แน่น เมื่อได้โครงเรือแล้วก็มาถึงขั้นตอนการติดกระจก โดยจะตัดกระจกสีเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้าชิ้นเล็ก ๆ ทำการลบคมให้เรียบร้อย ห่อด้วยเส้นฟอย
ส์ทองแดงให้รอบกระจก จากนั้นก็นำมาประกอบติดกับโครงเรือ ใช้ตะกั่วและหัวแร้งเชื่อมติดให้แน่น ประกอบจนเป็นรูปเรือตามแบบ

หลัง จากทำการเชื่อมต่อเสร็จเรียบร้อย ก็นำน้ำยาแพทติน่า (patina) มาทาลงบนเส้นต่อที่ใช้ตะกั่วเชื่อมเพื่อให้เป็นสีดำ ซึ่งการทำเช่นนี้จะทำให้รูปลักษณ์ชิ้นงานออกแนวโบราณ ดูมีคุณค่ายิ่งขึ้น

ส่วน สีของกระจกที่ใช้นั้นก็ขึ้นอยู่กับการดีไซน์ของแต่ละคน

ขั้นตอนต่อไป นำโครงเรือที่เสร็จเรียบร้อยไปล้างทำความสะอาดด้วยผงซักฟอกแล้วตากแดดให้ แห้ง เพื่อล้างรอยตะกั่วและสิ่งสกปรกที่ติดกระจกออกให้กระจกใสดูสวยงาม จากนั้นก็นำมาครอบใส่ตู้ปลาที่ทำเตรียมไว้ ทำการตกแต่งตู้ปลาให้สวยงาม แล้วติดตั้งไฟใส่เข้าไป เท่านี้ก็จะได้ตู้ปลาที่เป็นรูปเรือตามที่ต้องการ

ตู้ ปลารูปเรือ หรือ “ตู้ปลาเรือปลา” ไอเดียของธนากรนี้ เป็นทั้งตู้เลี้ยงปลา และเป็นของแต่งบ้านไปในตัว ซึ่งในการทำออกจำหน่ายนั้นก็มีหลายขนาด โดยราคาขายก็มีตั้งแต่ 6,000 บาทขึ้นไป ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับขนาดของชิ้นงานและการตกแต่ง ในขณะที่ต้นทุนนั้นอยู่ที่ประมาณ 70-80% ของราคาขายแต่ละชิ้น

การทำ อาชีพหรือการสร้างชิ้นงานลักษณะนี้ อาศัยฝีมือช่างบวกกับศิลปะ-ความคิดสร้างสรรค์ ซึ่งอาจจะดูว่าทำได้ไม่ง่ายนัก แต่จริง ๆ แล้วก็สามารถฝึกฝนกันได้ไม่ยาก และสามารถเป็น “ช่องทางทำกิน” ที่ดี

ใครสนใจงานของธนากร ร้านของเขาอยู่ที่เลขที่ 16 จันทร์อำนวย อ.พนัสนิคม จ.ชลบุรี โทร. 08-1762-2546, 0-3846-2345 นอกจากตู้ปลารูปเรือแล้ว ยังมีงานกระจกที่น่าสนใจอีกหลายอย่าง.

บดินทร์ ศักดาเยี่ยงยงค์ : รายงาน เครดิตจาก เดลินิวส์

เทียนหอมกัน ยุง

ใครชอบแต่ง บ้านให้ได้ทั้งความสวยงามและได้ประโยชน์ด้วยละก็ นี่แหละ ใช่เลย เทียนหอมกันยุง เป็นงานหัตถกรรมที่มีความสวยงามสามารถตกแต่งได้ตามใจผู้ทำ สิ่งที่จะต้องเรียนรู้ก็เป็นเรื่องของวัสดุต่างๆที่นำมาใช้และเทคนิค วิธีทำ เมื่อทราบขั้นตอนต่างๆเหล่านี้เมื่อได้ลงมือทำไปบ้างแล้วที่นี้ล่ะ แบบเทียนสวยๆหอมๆจากใจคุณก็จะออกมาได้เอง ยังไงส่งภาพมาให้ดูกันบ้างนะครับ
มา เข้าเรื่องกันเลยดีกว่า เรามาดูกันว่าจะต้องใช้อุปกรณ์อะไรบ้าง

1 หม้อหุงข้าวไฟฟ้า ใช้สำหรับละลายเทียนเพื่อความสะดวก เพราะตัวหม้อจะมีระบบตัดไฟเมื่อน้ำเทียนเดือด เมื่อเทียนแข็งตัวและเราต้องการให้เทียนหลอมละลายอีกเราก็กดปุ่มอีกครั้ง

2 หม้อสองชั้นสำหรับตุ๋นเทียน ชั้นล่างเป็นหม้อใบใหญ่กว่าสำหรับใส่น้ำ ใบบนสำหรับใส่เทียนเป็นหม้อใบเล็กกว่ามีด้ามจับ ถ้าใช้หม้อชั้นเดียวเนื้อเทียนจะถูกความร้อนโดยตรงซึ่งร้อนเกินไปและไม่ สะดวกแก่การทำงาน

3 ถาดขนมสี่เหลี่ยมขนาดต่างๆ ควรเป็นแบบที่ทำจากอลูมิเนียมจะได้ทนความร้อนได้ดี

4 ช้อน สำหรับตักเทียน

5 แม่พิมพ์ สำหรับยอดเทียนให้เป็นรูปต่างๆ

6 เหล็กคีบ ใช้หนีบภาชนะร้อนๆจะได้ไม่ร้อนมือ

7 กาละมังสเตนเลสใบเล็ก

8 ทัพพีกลมสำหรับตักน้ำเทียน

9 กรรไกรสำหรับตัดแต่งเทียน

10 แม่พิมพ์ สำหรัยยอดเทียนให้เป็นรูปต่างๆ กรณีที่ต้องการทำรูปแบบต่างๆให้ดูสวยงาม

11 เหล็กแหลม สำหรับปักไส้เทียน


วัสดุที่เราใช้ในการทำเทียน

1 พาราฟินแวกซ์ มีลักษณะเป็นของแข็งใสมีทั้งแบบก้อนและเม็ด มีจุดหลอมเหลวที ่58°c - 62°c
2 โพลีเอททีลีนแวกซ์ หรือที่นิยมเรียกกันติดปากว่า พีอี หรือโพลีเอสเตอร์ เอสเตอร์รีน มีลักษณะเป็นเกล็ด ช่วยทำให้เทียนจุดได้นานขึ้นปกติจะใช้ประมาณ 2--10 เปอร์เซนต์

3 สเตียริคเอซิค ช่วยทำให้เทียนมีผิวลื่นแกะออกจากพิมพ์ง่าย มีทั้งแบบเป็นเกล็ดและเม็ดไข่ปลา ปกติจะใช้ 4 ช้อนโต๊ะต่อพาราฟิน 1/2 กก.
4 ไมโครแวกซ์ ช่วยทำให้เทียนมีความเหนียวง่ายต่อการปั้นหรือแกะสลัก มีลักษณะเป็นแผ่นสีขาว ถ้าใช้แบบคุณภาพต่ำจะทำให้มีควันมาก
5 ไส้เทียน มี 2 แบบคือแบบที่ฟอกแล้วจะมีสีขาวและแบบที่ยังไม่ได้ฟอกจะมีสีขาวขุ่น
6 สีผสมเทียน
7 น้ำมันตะไคร้หอม

เรื่องของวัสดุในการทำเทียนหอมกัน ยุงผมได้แจงรายละเอียดไว้เผื่อสำหรับในการทำเทียนแบบสวยงามด้วยเลย จึงดูค่อนข้างจะมีส่วนประกอบมาก ลองทำดูก็แล้วกันครับมีไอเดียอะไรในเรื่องของรูปแบบหน้าตาก็ดัดแปลงได้ไม่ ผิดกติกา วัสดุหาซื้อได้ตามร้านเครื่องเขียนโดยเฉพาะร้านใหญ่ๆจะมีขายส่วนอุปกรณ์หา ซื้อได้ตามซุปเปอร์มาเก็ตตามห้างสรรพสินค้าทั่วไป บางรายการเช่นแบบพิมพ์ขนมรูปต่างๆมีขายตามร้านขายอุปกรณ์ทำขนม

วิธีทำ

1 นำแผ่นฟาราฟินแวกซ์หั่นเป็นท่อนๆใส่หม้อขึ้นตั้งความร้อนปานกลาง เคี้ยวไปจนละลายเป็นของเหลว
2 ใสสีตามลงไปโดยใส่ทีละน้อยตามต้องการคนจนสีเนียนเข้ากันทั่วทั้งหม้อหากสี จืดไปค่อยเติมสีเพิ่ม
3 ใส่หัวน้ำมันตะไคร้หอมประมาณ 3-4 หยดต่อเทียน 1/2 กก.
4 หยอดเทียนใส่พิมพ์ รอจนแข็งตัวจึงแกะออกจากพิมพ์ ตกแต่งผิวด้วยมีดหรือกรรไกร หรืออาจหยอดใส่ถ้วยแก้วเล็กๆก็ได้
5 นำมาตกแต่งด้วยริบบิ้นหรืออื่นๆเพื่อให้ดูสวย

ที่มาของบทความ http://www.archeep.com/

ขยะ ลวด...ถักทอจินตนาการ

วันนี้เราจะพามาชมการ ทำเศษลวดเป็นงานศิลปะ กระทั่งสามารถทำเป็นอาชีพเสริมได้ ที่บ้านคุณเต๋า-สมชาย แซ่ตั้ง ซึ่งเหมาะกับช่วงเศรษฐกิจฟุบเช่นนี้เป็นอย่างยิ่ง

จุดประกาย จินตนาการ

เพียงก้าวแรกที่เจ้าของบ้านใจดีเปิดประตูต้อนรับ เราก็ถูกสะกดไว้ด้วยความสวยงามของต้นไม้ลวดที่สูงใหญ่ราว 2 เมตร ที่แผ่กิ่งก้านสาขาอ่อนช้อยอยู่ภายในบ้าน ด้วยเส้นสายลายถักที่สอดประสานกันอย่างประณีตบรรจง ต้นไม้นี้จึงไม่เหลือความแข็งกระด้างซึ่งเป็นธรรมชาติของเส้นลวดให้เราได้ สัมผัสถึง

คุณเต๋าเล่าถึงแรงบันดาลใจว่าแรกเริ่มเดิมทีนั้น สนใจปลูกบอนไซตามคุณพ่อ ซึ่งเป็นงานที่ต้องทำงานอยู่กับลวดตลอดเวลา เมื่อมีขยะเหลือใช้จากลวดจึงเริ่มนำมาประดิดประดอย

“เศษลวดไม่ว่าจะ สั้นหรือยาวแค่ไหนให้เก็บไว้ เพราะสามารถนำมาใช้ประโยชน์ สร้างสรรค์งานได้ อย่างเศษลวดจากราวตากผ้า ไม้แขวนเสื้อ ขยะเศษลวดทั้งจากที่บ้าน ที่ทำงาน นำมาให้ได้ทั้งนั้น”

หลังจากจดๆ จ้องๆ อยู่นาน ก็ชักจะคันไม้คันมือ อยากลองทำกับเขาบ้าง เราไปลงมือทำกันดีกว่าค่ะ

งานลวด ไม่ยากอย่างที่คิด

คุณเต๋าเล่าถึงงานลวดว่ามีด้วยกัน 3 ประเภท คือ ดัด พัน และถัก

“สำหรับคนที่เพิ่งเริ่มทำ เริ่มจากชิ้นเล็กๆ ง่ายๆ ตามที่ใจเราชอบ สังเกตจากสิ่งรอบๆ ตัว เช่น ตัวสัตว์ต่างๆ ดอกไม้ แล้วร่างรูปแบบง่ายๆ ในกระดาษก่อน จากนั้นนำเส้นด้ายมาขดตามที่รูปร่างตามเราต้องการ เพื่อกะความยาวของลวดที่จะใช้ ตัดลวดตามความยาวนั้น แล้วค่อยลงมือดัดทำ เศษลวดเก่าออกสีหมอง ก็สามารถนำมาพ่นสีสเปรย์ให้ใหม่ได้”

จากการ พัฒนางานอย่างไม่หยุดนิ่ง คุณเต๋าก็สามารถผลิตของใช้ต่างๆ ออกมามากมาย เช่น ที่หนีบนามบัตร ที่แขวนต่างหู เชิงเทียน โคมไฟ ทั้งยังนำมาผสมผสานเข้ากับวัสดุอื่นๆ ได้ตามจินตนาการเช่น ตอไม้ ขวดแก้ว ลูกปัด พลาสติก จนได้ของใช้ที่สวยงามแปลกตา

คุยกันไปคุยกันมา ในที่สุด มือใหม่อย่างเราก็สามารถสร้างสรรค์ที่เสียบนามบัตรที่มีรูปร่างสีสรรค์ออกมา ได้สวยไม่น้อย ตอนนี้เห็นด้วยกับคุณเต๋าร้อยเปอร์เซ็นต์แล้วค่ะว่า งานลวดทำให้จินตนาการเป็นจริงได้ง่ายนิดเดียว

สนใจเรียนฟรี คุณสมชาย แซ่ตั้ง (เต๋า) สอนอยู่ที่ ตลาดนัดสนามหลวง 2 (ส่วนขยายศูนย์อาหารโซน 1) วันเสาร์ สนใจติดต่อ 081-816-2595

ขอบคุณข้อมูล : นิตยสารชีวจิต
กระดุม (1) กระเป๋าหนัง (1) กระเพาะปลาน้ำแดง (1) กระยาสารท (1) กับข้าวถุง (1) กาแฟชัก (1) การประกอบอาชีพอิสระ (1) การเพาะ เห็ด (1) ขนมเค้ก (1) ขนมโบราณทำเงิน (1) ขนมเปี๊ยะ (1) ขนมเปี๊ยะอบเทียน (2) ขยะ ลวด (1) ของฝาก (1) ขาย (1) ขายคล่อง (2) ขายความสนุก (1) ขายน้ำผลไม้ ปั่น (1) ขายปลาทูนึ่ง (1) ขายไอเดีย (1) ข้าวซอย (1) คลับแอสทีเรีย (1) เครื่องดื่ม (2) โคมไฟดินหอม (1) งาน (2) งานขายไอเดียราคาดี (1) งานประดิษฐ์ (2) งานผ่าน เน็ต (1) งานไม้ (1) งานเสริม (1) จ๊อปลาทู (1) จากดินญี่ปุ่น (1) ซองใส่มือถือ (1) ซาลาเปา (1) ซีฟู้ดกระทะ (1) โดนัทเค้ก (1) ติดตู้เย็น (1) ติดเสื้อ (1) ตุ๊กตา ถุงเท้า (1) ตุ๊กตาไทย (1) ตุ๊กตาไม้โย โย่-ล้มลุก (1) ตุ๊กตาโยโย่ (1) ตู้(เรือ)ปลา (1) ถักทอจินตนาการ (1) ถั่วแดงเย็น (1) ทองพับ (1) ทอลูกปัด (1) ทับทิม กรอบรวมมิตร (1) ทำธุรกิจอะไรดีจึงจะรวย (1) ทำไม่ยาก (1) ทำเองได้ (1) ที่ติดตู้ เย็น (1) ทุนต่ำ (1) เทียนหอมกัน ยุง (1) ธุรกิจแฟรนไชส์ (1) น่ารักๆ (1) น้ำ เงี้ยว (1) น้ำบ๊วย (1) บะหมี่-เกี๊ยว (1) บีบี (1) บุฟเฟ่ต์ (1) เบเกอรี่ (1) ประดิษฐ์ ดอกไม้ (1) ปาท๋องโก๋เกลียว (1) เป็นอาชีพเสริม (2) แปรรูปผลไม้ (1) ผีเสื้อ ใบยาง (1) พลิกแพลง (1) พวงมาลัยสบู่ (1) เพนท์สี (1) เพื่อสุขภาพ (1) มนุษย์ เงินเดือนมืออาชีพ (1) มีสูตรเด็ดขายที่ไหนก็รวย (1) แมงมุม (1) ย้อมผ้าแบบญี่ปุ่น (1) ยาโมโน ซาชิ (1) ยำทรงเครื่อง (1) รวย (1) รอง เท้านินจา (1) ราคาดี (2) รายได้ (1) รายได้พิเศษ (2) รายได้สวย สร้างรายได้ (4) รายได้เสริม (4) โรตีสไตล์พิซซ่า (1) ลองกอง (1) ลูกเดือยทอดกรอบ (1) ลูกหยีกวน (1) เลี้ยง ผึ้งจิ๋ว (1) วันแม่ (1) สมุนไพรทำเงิน (1) สร้างรายได้ (23) สร้างเลียนแบบ (1) สร้างอาชีพ (11) สินค้าแปรรูป (2) สูตรปักษ์ใต้ (1) ไส้แกง (1) หน้ากากบีบี (1) อาชีพ (1) อาชีพเสริม (29) อาชีพอิสระ (4) อาหารก๊อปปี้ (1) ไอเดียเก๋ไก๋ (1) ไอเดียแปลก (1) ไอศครีมทุเรียน (1) Happy Cake (1)

ผู้ติดตาม

..